คนขวางโลก
ในช่วงหลายปีที่ social media ในประเทศไทยเฟื่องฟูขึ้นมาราวกับขี้ลอยน้ำ ผมมีโอกาสได้พบเห็น "สิ่งอุจาดทางความคิด และ "ความดัดจริตทางการแสดงออก" ของหลายต่อหลายคนในสังคมเมืองไทยอย่างไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยมันพังพินาศได้ขนาดนั้นมานานมากแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาพังพินาศเอาในช่วงระยะหลังๆ ที่มีคนขุดคุ้ยขึ้นมาเอะอะโวยวายกันหรอก เพราะบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายๆ คนที่แถออกมาแสดง "ความสิ้นคิด" เท่าที่เห็นนั้น ล้วนเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาที่มีอายุอานามเกินกว่ากึ่งศตวรรษไปแล้วทั้งสิ้น !!??!! ... มันจึงไม่แปลกอะไรที่บรรดา "นักสิ้นคิด" เหล่านั้นจะผลิต "ทายาททางการลอกเลียน" ออกมาเป็น "นักสิ้นคิด" รุ่นใหม่ๆ ที่กระจายไปทั่วทุกวงการของเมืองไทย ... ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงไอทีที่น่าจะสามารถหลุดพ้นจาก "วงจรอุบาทว์" เหล่านี้มากกว่าใครก็ไม่มีข้อยกเว้น ??!! ... โดยแต่ละคนมักจะกระเสือกกระสนที่จะประกาศตัวว่าเป็นพวก "ลิเบอรัล" (liberal) เพื่อที่จะ "รวมเผ่าชาวสิ้นคิด" ให้เป็น "กลุ่มก้อนของผู้ปฏิเสธสังคม" สำหรับชดเชยให้กับ "ความอ้างว้างโดดเดี่ยว" ที่พวกเขา "ฝังใจกันเอง" มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกของพวกเขาไปวันๆ ... เท่านั้นเอง ... !!!?!?!
... คนขวางโลก มักเป็นอาการแสดงออกของ "ความฝังใจ" ว่า โลกขวางเขา ...
... ผู้ไม่ยินดีกับโลก ย่อมเพราะ "ความฝังใจ" ว่าโลกไม่เคยร่วมยินดีกับเขาเลย ...
มีคนบางจำพวกที่ประพฤติตัวราวกับอสุจิที่เล็ดรอดถุงยางเข้าไปปฏิสนธิ จึงฝังใจมาโดยตลอดว่าตนไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของบุพการีมาตั้งแต่แรก และพยายามยืนยัน "ความฝังใจผิดๆ" ของตนว่าเป็น "คนนอกของสังคม" ด้วยพฤติกรรม "ขวางโลก" เพื่อให้ทุกผู้คนล้วน "ไม่อาจยอมรับ" อันจะกลายเป็น "เหตุสมอ้าง" ให้ตนพร้อมจะ "ต่อต้านสังคม" อย่าง "ผู้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์" ทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ โดย "ไม่ต้องไตร่ตรองใดๆ" อีกต่อไป ...
"คนขวางโลก" ประเภทนี้หลายต่อหลายคน พยายามชดเชย "ความอ้างว้างโดดเดี่ยว" ในใจของตนด้วย "การศึกษา" ... บ้างก็ชดเชย "ความฝังใจผิดๆ" นี้ด้วยการประกอบธุรกิจให้แปลกใหม่ใหญ่โต ฯลฯ ... พยายามแสวงหา "ปมเขื่อง" มาข่มทับ "ปมด้อย" ที่ตนเป็นผู้ "ตีตราให้แก่ตนเอง" อย่างขมักเขม้น ... ซึ่งหลายๆ คนก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และการประกอบวิชาชีพของพวกเขาได้จริงๆ ... แต่ "ทรัพย์สิน" และ "ความรู้" ก็ไม่ใช่ "สัดส่วนทางตรง" กับ "ความคิด" เสมอไป ... เราจึงมีโอกาสได้พบเห็น "คนรวยระยำ" กับ "กูรูสิ้นคิด" ที่พยายาม "อวดโอ่ตัวเอง" เพื่อ "เรียกร้องความยอมรับ" จาก "สังคมที่ตนเป็นผู้ปฏิเสธ" มาโดยตลอด !!??!!
ประเพณี, วัฒนธรรม, ตลอดจนกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในสังคมหนึ่งๆ ล้วนมีวันเวลาที่เหมาะสมของการก่อเกิด และการดำรงคงอยู่ของมันเสมอ ซึ่งความเหมาะสมของยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง อาจจะไม่มีความเหมาะสมในอีกบางยุคบางสมัย แต่สิ่งที่ทุกคนควรจะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก็คือ พวกมันล้วนมีเหตุให้ต้องก่อเกิด ล้วนมีเหตุให้ต้องธำรงรักษาไว้ ล้วนมีเหตุให้ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามกาละ-เทศะของมันเสมอ ... ทุกๆ ประเพณี ทุกๆ วัฒนธรรม ทุกๆ กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในแต่ละสังคม ล้วนมีฝ่ายที่ได้ประโยชน์ ซึ่งย่อมจะแสดงออกด้วยการยอมรับ ล้วนมีฝ่ายที่เสียประโยชน์ ซึ่งย่อมจะแสดงออกด้วยการแข็งขืนต่อต้าน ... แต่สังคมย่อมสงบ เมื่อสมาชิกส่วนใหญ่มี "ทัศนคติ" ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน มีการจัดสรร "ผลประโยชน์" ให้แก่ "แต่ละภาคส่วนของสังคม" อย่าง "ถ้อยทีถ้อยอาศัย" ซึ่งกันและกัน โดยไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ต้องได้เปรียบ หรือต้องเสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา ... มันคือ "หลักคิด" ที่ "นักสิ้นคิด" บางคนชอบกระแนะกระแหนว่า "เขียนเมื่อไหร่ก็ถูก" นั่นแหละ ... !! 😈
ถ้อยคำสำคัญใน "หลักคิด" ข้างต้นนั้นก็คือ "ทัศนคติต่อผลประโยชน์ของแต่ละภาคส่วนของสังคม" นั่นแหละ ... เพราะ "ผลประโยชน์" นั้น มันมีทั้งที่ "จับต้องได้" และ "จับต้องไม่ได้" ... อีกทั้งยังมีประเด็นของ "ผลประโยชน์ระยะสั้น" กับ "ผลประโยชน์ระยะยาว" ... ซึ่งก็จะไปเกี่ยวข้องกับ "ภาคส่วนของสังคมในรุ่นปัจจุบัน" กับ "ภาคส่วนของสังคมในรุ่นอนาคต" ... ทุกๆ ฝ่ายที่มี "ความปรารถนาดีต่อสังคมโดยรวม" จึงต้องพยายามทำความเข้าใจใน "ทัศนคติ" ที่ "อาจจะ" ยังมี "ความแตกต่างกัน" ในประเด็นดังกล่าวให้ชัดเจนตรงกันเสียก่อน ไม่ใช่เริ่มต้นกันที่การตั้งแง่เพื่อจับแต่ละฝ่ายไป categorize ให้เป็น "ลิเบอรัลสามานย์" หรือ "คอนเซอร์เวทีฟสถุล" อย่างที่ปฏิบัติต่อกันอยู่ในทุกวันนี้ !!
คนที่เป็นครูบาอาจารย์จะต้องพยายามทำหน้าที่ "ถ่ายทอดวิธีสังเคราะห์ความรู้" ให้เป็น "ความคิด" แก่สานุศิษย์ของตนด้วย ไม่ใช่สักแต่ท่องจำคำแปลตำราต่างชาติมายัดเยียดให้ใครต่อใครเชื่อว่า "ความรู้" นั้นคือ "ความคิด" ที่เจิดจรัสราวกับรับประทานมาจากสวรรค์วิมานชั้นบรรยากาศนอกวงโคจรของดาวโลก ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียง "กากเดน" ของ "ความรู้" ที่ถูกย่อยจนละเอียดไปแล้วของ "นักคิด" ใน "อดีต" ที่อาจจะโบร่ำโบราณกว่าวัฒนธรรมประเพณีที่ตนก่นด่าว่าล้าสมัยไปอีกตั้งหลายร้อยปีด้วยซ้ำ ... ส่วนคนที่อยากสถาปนาตนขึ้นเป็น "นักคิด" ก็จะต้องพยายาม "ใช้ปัญญาอย่างมีสติ" เพื่อ "สังเคราะห์ความรู้" ซึ่งเป็นเพียง "วัตถุดิบทางปัญญา" ให้กลายเป็น "ประดิษฐกรรมทางความคิด" อย่าง "ปรารถนาดีต่อสังคมโดยรวม" ไม่ใช่สักแต่ตะแบงให้มันแผลงเพี้ยนไปวันๆ เพื่อ "สร้างปมเขื่อง" ให้กับตัวเอง ราวกับเป็นตัวอสุจิที่ "ฝังใจในความไร้ค่า" อันเนื่องมาจากความผิดพลาดของมาตรการคุมกำเนิดเท่านั้น !!??
... โลกยังคงหมุนไปไม่ว่าจะมีใครคล้อยตามหรือขวางกั้น ... สังคมย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะมีใครยอมรับหรือปฏิเสธ ... มนุษย์แต่ละคนล้วนเป็นฝุ่นธุลีที่ดี๊ด๊ากันไปเองว่าตนมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลกและสังคม ... กรวดทรายที่สำคัญตนว่าเป็นดาวฤกษ์ ต่างก็ทับถมกันเองว่าใครเจิดจรัสกว่าใครอย่างไม่สิ้นสุด ... เถนย่อมไม่ใช่ทั้งกรวดทราย และไม่ใช่ทั้งดาวฤกษ์ ... แต่เถนเป็นขี้กองหนึ่งที่รู้สึกเหม็นขี้ฟันบรรดากรวดทรายทั้งหลายมากกว่าเหม็นกลิ่นของตัวเอง ... 😃
Leave Comment