เล่าเรื่องย้ายหนังสือ
เป็นเวลาประมาณ 373 วันนับจากการโพสต์ในเว็บส่วนตัวครั้งสุดท้าย ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยจะมีเรื่องเล่าอื่นๆ นอกจากหนังสือที่ตัวเองอ่านเท่านั้น แต่ครั้นจะถามว่า ระยะเวลาร่วม 400 วันมานี้ไม่มีหนังสือที่น่าสนใจเลยรึไง?! ... หรือว่า "อ่านไม่เข้าหัว"?! ... หรือว่า "ไม่ได้อ่านเลย"?! ... ฯลฯ ... ทั้งๆ ที่ก็ยังตะบันซื้อหนังสืออยู่เป็นประจำแทบจะทุกโอกาสที่ไปเดินห้างฯ ?!?!?!
จะว่าไปแล้ว "ข้อแก้ตัว" ข้อหนึ่งก็คือ "เวลา" ครับ คือมันเหมือนกับว่า "เวลา" ถูกทำให้หดหายไปเพราะกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายหลายเรื่องจนเกินไป ซึ่งทำให้การอ่านของผมในระยะหลังๆ มานี้ ต่อให้มี "ประเด็นที่น่าสนใจ" มันก็ไม่ได้ถูกเรียบเรียงให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนที่พอจะสื่อสารออกมาให้รู้เรื่องได้ง่ายๆ อยู่ดี สุดท้ายก็ได้ปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ได้เล่าอะไรออกมาให้ใครฟังอีกเลย
ยิ่งในช่วงเวลาประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมานี้ด้วยแล้ว การหอบหิ้วหนังสือทั้งหมด (จริงๆ ต้องใช้คำว่าบรรทุกมากกว่า) มาเรียงเก็บให้เป็นหมวดหมู่บนชั้นวางในบ้านหลังใหม่ก็สร้างความวุ่นวายไม่ไช่น้อยเลย ถึงแม้ว่าการทำ "ทะเบียนหนังสือ" จะดำเนินการไปก่อนหน้านั้นมาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ด้วยปริมาณที่ไม่สามารถจัดการได้หมดก่อนกำหนดการย้าย หนังสือจำนวนหนึ่งจึงถูกเคลื่อนย้ายมาในสภาพที่ไม่เป็นหมวดหมู่เหมือนตอนที่พวกมันยังอยู่ในตู้เดิม จึงทำให้การจัดเก็บเข้าที่ใหม่ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เพราะต้องคอยขยับสับเปลี่ยนตำแหน่งของที่วางให้เหมาะกับปริมาณของแต่ละหมวดหนังสือ
ตั้งใจเอาไว้ว่า หลังจากทำ "ทะเบียนหนังสือ" ควบคู่ไปกับ "การจัดเก็บหนังสือ" เรียบร้อยแล้ว ก็จะสร้างระบบ "สารบัญหนังสือ" ขึ้นมาใหม่ โดยหวังว่ามันจะเข้าใจได้ง่ายกว่าระบบเดิมๆ ที่เขานิยมใช้กันอยู่แล้ว ซึ่งก็น่าจะช่วยให้ "การหาหนังสือของตัวเอง" ง่ายกว่าการพยายาม "เลียนแบบวิธีการ" ทางสารบัญของคนอื่นๆ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ... พอถึงตอนนั้นจริงๆ การหยิบหนังสือแต่ละเล่มมาเล่าก็น่าจะสะดวกกว่าเดิม เพราะข้อมูลที่ควรจะให้ไปพร้อมๆ กัน ได้ถูกทะยอยบันทึกไว้ใน "ทะเบียนหนังสือ" ทั้งหมดแล้วนั่นเอง
ผมมองว่า "ห้องหนังสือ" ที่ทำไว้นี้ มันไม่ได้เป็นแค่ที่เก็บ "กระดาษเปื้อนหมึก" เท่านั้น แต่มันคือ Time Capsule ที่รวบรวม "ความคิด" และ "ชีวิต" ของบุคคลจำนวนหนึ่งเอาไว้ โดยมีบางเล่มก็ถึงกับเป็นเรื่องราวของชนชาติทั้งชนชาติเลยทีเดียว ซึ่งเราแทบไม่มีทางรับรู้ได้โดยตรงเลยว่า กว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะได้รับการสืบทอดมาจนกลายเป็นเล่มหนังสือแต่ละเล่มบนชั้นวางของเรานั้น มันได้ผ่านวันเวลาแห่งความเหนื่อยยาก และผ่านวันเวลาแห่งความวิริยะอุตสาหะของใครต่อใครอีกตั้งเท่าไหร่ ... คุณค่าของบางสิ่งจึงไม่ได้อยู่ที่เราได้ประโยชน์อะไรจากมัน แต่อยู่ที่มันได้หลอมรวมพลังแห่งความตั้งใจของใครอีกหลายๆ คนไว้มากน้อยแค่ไหนด้วย ... การนิยาม "คุณค่า" ให้จำกัดอยู่ในวงที่ "คับแคบ" เพียงเฉพาะตัวเฉพาะกลุ่มนั้น จึงเป็น "ความมักง่าย" ที่จะหล่อหลอมให้สังคมโลกขาดความเห็นอกเห็นใจ และขาดความเคารพระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปตลอดกาล ...
Leave Comment