Zhuq!Ching |
ZhuqiChing : The Organization Code The Long Struggled Episode of ZhuqiDOX © 2021 by Viruch Hemapanpairo (วิรัช เหมพรรณไพเราะ) |
Part II : The Biceps
|¦| .. Zhuq!Ching
ผมจะเรียกท่อนนี้ว่า 'บทนำ' ของ 'ฉึกฺอิจิง' ก็แล้วกัน !! :D
ออกจะดูเป็น 'อาการอวดดี' ไปซักหน่อยที่ผมบังอาจคิดจะเขียน 'คัมภีร์ของตัวเอง' โดยอ้างอิงกับ 'คัมภีร์อี้จิง' … ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความแตกฉานในด้านภาษาจีนซะขนาดนั้น … :D … แต่ผมก็ดันทุรังพอที่อยากจะเรียกอาการแบบนี้ของตัวเองว่า 'ความซื่อสัตย์' ไปซะได้ !!! … :P …
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมไม่เคยลืมว่า 'คัมภีร์อี้จิง' นั้นเป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตามตำนานก็ว่ากันว่า Fu Xi เป็นผู้คิดค้นเอาไว้ … จากนั้นก็มาถึงยุคของ King Wen ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มทำบันทึกเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มนี้ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร … แล้วก็มาถูกเขียนอรรถาธิบายขยายความโดย 'จิวกง' ซึ่งมีอายุอานามไม่ห่างกับ King Wen ซักเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นพ่อ-ลูกกัน … จากยุคของ Fu Xi มาถึงยุคของ King Wen ก็น่าจะเป็นร้อยๆ ปีมั้ง … อันนี้เดาๆ เอา เพราะว่าไม่ชัดเจนเรื่องตำนานของ Fu Xi … แต่จากยุคของ Fu Xi มาถึงยุคของ 'ขงจื้อ' นี่เขาประมาณกันไว้ว่าน่าจะซักกว่า 2,000 ปีเห็นจะได้ … จากยุคของ 'ขงจื้อ' มาถึงยุคของพวกเราก็อีกประมาณกว่า 2,000 ปีเหมือนกัน เพราะมีบันทึกกันไว้ว่า 'ขงจื้อ' เป็นปูชณียบุคคลในยุคเดียวกับ 'พระพุทธเจ้า' …
ทีนี้ … เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าภาษาจีนในยุคของ 'ขงจื้อ' นั้นถูกจัดให้เป็นภาษาเก่าที่ยากแก่การทำความเข้าใจด้วยโครงสร้างทางภาษาของยุคปัจจุบัน … ผมก็มีความเชื่อของผมอยู่ว่า ภาษาจีนในยุคของ Fu Xi หรือของ King Wen ก็คงจะก่อปัญหาให้กับการทำความเข้าใจที่ไม่น้อยไปกว่านี้มากนักในยุคสมัยของ 'ขงจื้อ' เพราะว่ามีโครงสร้างทางภาษาที่ทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 2,000 ปีเหมือนกับที่พวกเราห่างจาก 'ขงจื้อ' เปี๊ยบเลย !! … ;) … แน่นอนที่ว่า 'ข้อคิด' หรือ 'ข้ออรรถาธิบาย' ที่ 'ขงจื้อ' เขียนบันทึกเอาไว้ให้แก่ 'คัมภีร์อี้จิง' นั้น ย่อมเป็นมรดกทางความคิดที่ล้ำค่าอยู่แล้ว … แต่ว่านั่นคือความหมายเดิมที่ King Wen ต้องการจะสื่อไว้รึเปล่า ??!! … ข้อนี้ผมไม่ค่อยอยากจะยืนยัน :D … เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่มี 'กรอบทางความคิด' ในแบบฉบับของตัวเองเสมอ … ซึ่งตามประวัติของ 'ขงจื้อ' เอง ก็ยังมีบันทึกคำปรารภของ 'ขงจื้อ' ไว้ตอนหนึ่งว่า … “หาก ข้าฯ มีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้อีกซัก 50 ปี ข้าฯ จะขอทุ่มเทเวลาทั้งหมดนั้นให้กับการศึกษา 'คัมภีร์อี้จิง' เพื่อที่ข้าฯ จะไม่กระทำสิ่งที่ผิดพลาดเหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีก” … เห็นมั้ยครับ ??!! … อยู่ในอาการที่ 'มึน' เหมือนกัน !!! … :D …
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ 'ขงจื้อ' บันทึกเอาไว้เหล่านั้นจะไม่มีความหมายใดๆ เลย … :D … อย่างน้อยที่สุดนั่นก็เป็น 'จุดเชื่อมต่อ' ที่สำคัญมากๆ ในการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็น 'คัมภีร์อี้จิง' ฉบับดั้งเดิมของ King Wen กับ 'จิวกง' … และในฐานะที่ 'ขงจื้อ' ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบรมครูแห่งยุคของเขา เราก็คงปฏิเสธความเป็นปราชญ์ทางด้านภาษาของเขาไม่ได้อยู่ดี … เช่นเดียวกับหนังสือหนังหาที่นักคิดนักเขียนอีกหลายร้อยหลายพันคนหลังจากยุคของ 'ขงจื้อ' ที่ยังช่วยกันค้นคว้า และขยายความกันต่อมาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ … ทุกๆ รายละเอียดเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีความหมายที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย …
ความคิดอุตริที่ผมนึกอยากจะ 'ตีความ' ให้ 'คัมภีร์อี้จิง' ไปเกี่ยวข้องกับ Biorhythms และการบริหารงานองค์กรในยุคสมัยปัจจุบันนั้น ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งมุมมองที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ … ;) … แต่ก็ค่อนข้างจะแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับว่า มันคงจะไม่ใช่ความหมายดั้งเดิมของ King Wen หรือ 'จิวกง' อยู่แล้ว … นั่นก็คือ 'ความซื่อสัตย์' ที่ผมจะไม่ยอมเรียกเอกสารฉบับนี้ว่า 'คัมภีร์อี้จิง' … :D … ผมเพียงแต่มีความคิดที่อยากจะเอา 'คัมภีร์อี้จิง' มาเป็น 'ต้นแบบ' ของการใช้ Random Words เพื่อที่จะเขียนอะไรให้มันกระจัดกระจายออกมาจากสมองของตัวเองบ้าง … เก้าะเท่านั้น !! … :D …
ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำใน 'คัมภีร์อี้จิง' ฉบับมาตรฐานของปัจจุบันที่จะต้องมีข้ออรรถาธิบายของปราชญ์คนอื่นๆ นอกเหนือไปจาก King Wen กับ 'จิวกง' จึงถูกผมตัดออกไปทั้งหมด :P … คงเหลือไว้เฉพาะส่วนที่ 'เชื่อกันว่า' เป็นข้อความดั้งเดิมของ King Wen กับ 'จิวกง' โดยเฉพาะเท่านั้น … เพื่อให้มันคงคุณลักษณะของ 'ความไม่รู้เรื่อง' ไว้ตามเดิม … :D !!??
แต่การตัดถ้อยคำเหล่านั้นออกไปก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่อ่านมันหรอกนะ ;) … เพราะผมยังคงต้องเปรียบเทียบ 'การตีความ' ของตัวเองกับ 'การตีความ' ของคนอื่นๆ ให้มันดูกลมกลืนกันได้ในหลายๆ ด้านอยู่เหมือนกัน … ซึ่งความน่ากลัวของความคิดที่อยากจะเขียนเอกสารฉบับนี้ก็อยู่ตรงนั้นแหละ เพราะการอ่าน 'คัมภีร์อี้จิง' ที่มีการแปลไว้หลากหลายเวอร์ชั่นขนาดนั้น มันต้องอาศัยเวลาที่มหาศาลจริงๆ …
อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่ต้องใช้เวลานานถึง 50 ปีอย่างที่ 'ขงจื้อ' เคยปรารภไว้กับลูกศิษย์ลูกหาของเขาหรอก :D เพราะผมกะว่าจะขอยืมเวลาซักหลายร้อยปีจากนักคิดนักเขียนหลายๆ คนรวมๆ กัน … โดยการหยิบยืมเอาผลพวงของการค้นคว้าวิเคราะห์วิจัยที่แต่ละคนเคยใช้เวลาไปแล้วคนละนับสิบๆ ปีกับคัมภีร์เล่มนี้มาผสมผสานกันซะใหม่ เพื่อที่จะสร้างให้กลายเป็น ZhuqiChing หรือ 'ฉึกฺอิจิง' ฉบับเต็มอย่างที่ผมอยากจะเขียนมาตั้งนานแล้ว …