ศิษย์ไม่มีครู
น่าจะหลายปีแล้วที่ผมมีโอกาสเข้าไปจุ้นจ้านกับเว็บบอร์ดของ "อาษา" อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งในการเขียน "กระเซ้ากัน" ไปๆ มาๆ ในเว็บบอร์ดสาธารณะนั้น มันก็มีความสนุกในอารมณ์ไปอีกแบบหนึ่งพอสมควร (ผมเรียกว่า "กระเซ้ากัน" นะ คนอื่นอาจจะเรียก "ถกเถียงกัน" หรือ "ทะเลาะกัน" หรืออะไรกันผมก็ไม่รู้)
ในการ "กระเซ้ากัน" ครั้งหนึ่ง มีสมาชิกท่านหนึ่งได้ยกคำกล่าวอ้างของพระผู้ใหญ่ขึ้นมาเป็น "เหตุผล" สนับสนุนข้อคิดเห็นของตัวเอง ซึ่งผมก็ "กระเซ้า" กลับไปด้วยวิธีการ "ตีความ" ตามที่ผมเข้าใจไปอีกแบบหนึ่งของผม ... แล้วผลที่ตามมาก็คือ สมาชิกท่านนั้นได้ยกคำว่า "ศิษย์มีครู" ขึ้นมาเพื่อหักล้างวิธีการ "ตีความ" ของผมใน "ข้อกระเซ้า" ที่ผมหยิบยกขึ้นมา ... ในทำนองว่า ผมน่าจะ "ตีความผิด" เพราะ "ไม่มีครูบาอาจารย์คอยอบรมสั่งสอน" !! ... เออ ... ตลกดีเหมือนกัน !!? ...
ความจริงผมก็ไม่เคยอ้างตัวว่า มีใครเป็นครูบาอาจารย์ของผมมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วแหละ !!?? ... ... ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะอยากจะอวดดีว่า ทุกอย่างที่ผมพูด หรือทุกอย่างที่ผมเขียน ล้วนเป็นสิ่งที่นึกคิดขึ้นมาได้เองเป็น "สัมมาสัมเถนฉึก" บ้าบออะไรแบบนั้น แต่มันเป็นเพราะ "ความเจียมเนื้อเจียมตัว" ที่ผมสำนึกอยู่เสมอว่า "กูนี้กวนตีนหนอ กูนี้ผิดพลาดได้หนอ" ผมจึงไม่อยากให้ชื่อของครูบาอาจารย์ที่ไหน ต้องมาแปดเปื้อนไปกับความเลอะเลือนส่วนตัวของผม ... เท่านั้นเอง ... มันคือเหตุผลที่ผมมักจะบอกกับใครต่อใครได้อย่างหน้าไม่อายว่า "ผมเป็นศิษย์ไม่มีครู" ... เพื่อให้คำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการเสนอข้อคิดเห็นต่างๆ ของผมนั้น สิ้นสุดลงที่ตัวผมเพียงคนเดียว ...
แต่หากว่ามีครูบาอาจารย์ท่านใดที่ภูมิใจในสิ่งที่ผมประพฤติปฏิบัติ และภาคภูมิใจที่จะยอมรับกับทุกคนว่าผมเป็นศิษย์ของท่าน ผมก็ยินดีเสมอนะ และจะไม่ปฏิเสธเลยด้วย เพราะผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า สิ่งต่างๆ ที่ผมคิด และแสดงออกไปนั้น มันเป็น "มวลสารทางความคิด" ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการหล่อหลอมของครูบาอาจารย์ท่านไหน หรือจากการอ่านตำรับตำราของใคร หรือจากการฟังคำบอกเล่าของอริและสหายกลุ่มต่างๆ ฯลฯ ซึ่งอาจจะเป็นภูมิปัญญาเฉพาะตัวของครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งเป็นการเฉพาะรึเปล่า ... จับต้นชนปลายไปถูกหรอกครับ ??!! ... ... เพราะฉะนั้น ใครอยากมีชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์ของผม ก็ประกาศกันเอาเองได้เลย แต่นั่นก็หมายความว่า ท่านเลือกที่จะอยู่ใน "ภาวะเสี่ยง" ต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ไม่น่าอภิรมย์บ้างเป็นครั้งคราว ... ซึ่งผมคงไม่สะดวกใจที่จะสร้าง "ปัจจัยเสี่ยง" แบบนั้นให้กับท่าน ด้วยการระบุชื่อของท่านต่อสาธารณชนว่า ... นี่ไงๆ !! ... คนนั้น คนนี้ เป็นคนสอนผมมา ... นะ !! ...
ให้มันเป็น "สัมมาสัมเถนฉึก" ของมันอย่างนั้นแหละ สนุกดีแล้ว !!?? ...
เขียนให้แม่
ย้อนนึกถึงวันเวลาที่ตัวเองกลายมาเป็น "หนอนหนังสือ" ... ตอนนั้นน่าจะประมาณปี พ.ศ.2529 ที่ได้มีโอกาสเดินทางไปไหนต่อไหนกับพนักงานขายของที่บ้านระหว่างปิดภาคเรียน ... จดจำอารมณ์ในตอนนั้นได้ประมาณว่า ... เรื่องราวที่น่ารู้ในโลกทำไมมันถึงได้เยอะนักวะ ?! ... แล้วปริมาณหนังสือในบ้านก็พุ่งพรวดพราดขึ้นมาจนเปิดอ่านกันไม่ทัน ... :D
แต่ความผูกพันกับหนังสือคงจะถูกฝังรากไว้ในสันดานของผมก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว ... น่าจะตั้งแต่เมื่อครั้งที่คุณแม่ยังนั่งอ่าน "นิทานหลอกเด็ก" ให้พวกเราฟัง ... จำได้ว่าบางวันหยุดที่ไม่มีการบ้าน ผมก็จะหยิบหนังสือนิทานเล่มเล็กๆ แล้ววิ่งไปขอให้คุณแม่ช่วยอ่านให้ แล้วก็นั่งฟังเสียงอ่านราบๆ เรียบๆ เหล่านั้นไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข ... มันคือ "นิทานหลอกเด็ก" ที่ผมแทบจะไม่ได้หยิบอ่านอีกเลยตลอดระยะเวลาหลายปีหลังๆ มานี้ ... เป็นเพราะเราเติบโตเกินกว่าจะระลึกถึงคุณค่าในอดีตของมันแล้วรึเปล่า ?! ... แล้วคุณแม่ล่ะ ?!
หลายปีที่เราใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับการทำงาน อยู่กับการแก้ปัญหาของงาน หรือกับการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คนรอบข้าง ... เคยมีคนๆ หนึ่งที่ "ต้องว่างเสมอ" เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ ... "ต้องว่างเสมอ" เมื่อเราอยากมีคนคุยด้วย ... "ต้องว่างเสมอ" เมื่อเราต้องการแบ่งปันเรื่องราวความสนุกสนานแบบเด็กๆ กับเขา ... ฯลฯ ... เคยมีคนๆ หนึ่งที่ยอมอุทิศตนเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับเด็กๆ จนไม่เหลือเวลาสำหรับการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ของโลกภายนอก ต้องคอยดูแลการบ้านซึ่งมีแต่เรื่องเก่าๆ ที่เขาเคยรู้มาก่อนแล้วทั้งนั้น ... เพื่อให้เด็กๆ เหล่านั้นมีโอกาสได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเองจากการเรียนรู้ จากการละเล่น หรือจากการดำเนินชีวิตในสังคมที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ... เคยมีคนๆ หนึ่งที่ยอมหยุดตัวเองเพื่อให้เด็กๆ ได้ก้าวเดินต่อไป ... และยิ่งเดินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ... จนบางครั้งก็ไม่เหลือเวลาที่จะหันกลับมามองคนที่ยังยืนอยู่ตรงจุดเดิม ... จุดที่ "ต้องว่างเสมอ" เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ ... "ต้องว่างเสมอ" เมื่อเราอยากมีคนคุยด้วย ... "ต้องว่างเสมอ" เมื่อเราต้องการแบ่งปันเรื่องราวความสนุกสนานแบบผู้ใหญ่กับเขา ... ฯลฯ ...
เราจะสามารถ "ต้องว่างเสมอ" สำหรับใครบางคนในอดีตของเราบ้างมั้ยล่ะ ?! ... มันคือความสามารถอันยิ่งใหญ่ที่ใครหลายๆ คนยังไม่สามารถบรรลุถึงจุดนั้นของชีวิตได้เลย !!!
... มาถึงวันนี้ ผมไม่มีคุณแม่อีกแล้ว ท่านจากไปอย่างสงบเมื่อเช้ามืดของวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2013 ด้วยอาการขั้นสุดท้ายของโรคพาร์กินสัน เหลือไว้แต่นิสัยที่มีความผูกพันอยู่กับหนังสือ ซึ่งคุณแม่ตั้งใจจะปลูกฝังไว้ให้เป็นมรดกในกมลสันดานจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของผมเอง ...
ฑัมตัวเป็ณนักกานเมือง
คลึ้มอกคลึ้มใจลองสมมุฏิว่าถ้าจำฬองพฤติกัมของนักกานเมืองมาเป็ณกานเขียนหนังษือจะมีหน้าตาเป็ณยังงัยมั่ง ผมก้อคิตว่าน่าจะออกมาปละมานอย่างนี้ ... ม้าง?!
จะบอกว่าถึงกับฑัมให้เราอ่านมั่ยลู้เรื่องมั้ย มันก็ไม่น่าจะถึงขณาดนั้น ... แต่มันดูขัดหูขัดตามั้ย มันก็คงจะมีอากานแบบนั้นนิดอน่อย เพลาะมันออกจะทะแม่งๆ เมื๋อนจะถูกเหมือนจะมั่ยถูกแบบเอาแน่เอานอนไม่ไฎ้ปละมานนั้น ... สึ้งนักกานเมืองบางคนก็จะรีบแถค่างๆ คูๆ ว่านี่เรียกว่า 'กานคิดนอกกอบ' เป็ณความคิดส้างสันแบบที่คนโง่ๆ ไม่มีทางเค่าจัย คนที่เขาจะเป็ณพู่นัมจะต้องทำอะไลให้มันเกินกว่าความคาดม๋ายของผู้คณ จะมัวแต่มาทัมอะไลส๊ำๆ ส้ากๆ เมื๋อนอดีตฒี่ตายไปแร้วไม่ด้าย ... นั่นก้อเป็ณวิทีกานหนึ่งของความพญายามกรับผิดให้เป็ณถูก โดยบอกว่าฑี่คนเขาไม่เค่าจัยนั่นเพลาะไอฆิวมันมั่ยศมปละกอบเอง ม่ายชั่ยความผิดปรกฏิของคนที่มีพฤติกัมไม่หยู่กับล่องกับรอย
พอวันดีฆืนดีฑี่มีคนเขาลู้มากๆ แร้วว่า อ้ายบ้านั่นมันติงฏ๊องไปวันๆ เท่านั้นแหระ เที่ยวหลอกนู่นปนนี่เมื๋อนนักเล่นกนให้คนงงๆ เพื่อจะหยิบฉวยอะไลบางอย่างเข้าหลือออกจากกะเป๋าของมันเองเฒ่าณั้นเอง ไม่ดั้ยมีอะไลที่วิเสดวิโษอย่างที่มันอวดอ้าง นักกานเมืองถ่อยๆ ปละเพทที่ว่านี้ก็มักจะบีบน้ำลายป้ายลูกตาให้ดูเมื๋อนหน้าสงสาน ล้องห่มล้องหั้ยว่าคนโบรานที่มีอำนาดเขากั่นแกร้ง ก่าวหาว่ามีการบิดเบือฎกะบวนกานยุฏิธัม เพลาะพวกที่แก้งนั้นกัวกานเปรี่ยนแปง กรัวว่าตัวเองจะหมดซิ่นอำนาดวาศนา ... ว่าแล้วก้อขอให้คนที่ยังงงๆ อญู่อีกล๋ายๆ คนช่วยกันส่งเสียงบอกว่าเขาเป็ณคนฏีที่ถูกกั่นแกร้ง พญายามให้ช่วยกันยืนยัณว่าทั้งหมดที่เขาทัมลงไปนั้ณมันถูกฏ้องแล้ว อันเป็ณฒี่มาของกานพยาญามเขียน 'ฎีกา' เพลาะเค่าจัยว่า 'ฎี' กับ 'ดี' มันคือฅำๆ เฎียวกันที่สะกตคนระหย่าง ... แร้ว 'ฎีกา' ก็เลยแปรว่า 'กาให้เป็นคนดี' :D
คนฒี่ยังชื่นชมนักกานเมืองปละเพดอย่างณั้น ก็คือคนฑี่ลู้สึกว่าการเคี๋ยนหนังสือด้วยพาสาแป่งๆ แบบนี้เป็นความส้างสันปละเพตหนึ่งที่สมควนจะให้ราฌบันดิตยอมรับว่าเป็ณพาสามาฏลถานหั้ยได้ แระพยาญามชวณเชื่อให้ทุกๆ คนคล้อยฏามว่า ปละเทดจะพัทณาขีดความสามาดไปแข่งกับคณอื่นให้ได้นั้ณ จำเป็ณจะต้องอาสัยคนฒี่มีวิศัยทัสน์ก้าวหน้าอย่างที่เห็นนี่เพียงสฐานเดียว
น่าเหนื่อยว่ะปละเทดณี้ของกู !!
การเมืองเรื่องหน้ากาก
จู่ๆ ไม่กี่วันก่อนก็มี "กระแสสวมหน้ากาก" Guy Fawkes บนหน้าโปรไฟล์ของ facebook กันเป็นทิวแถว ถึงแม้ว่าผมจะเคยเห็นการใช้ "สื่อสัญลักษณ์" เดียวกันนี้ในข่าวการประท้วงบางอย่างของประเทศอื่นๆ อยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรกับมันมากนักหรอก เพราะดูมันจะมี "ความเป็นของฝรั่ง" มากกว่า "ความเป็นของไทย" อยู่ซักหน่อย โดยเฉพาะสื่อที่ทำให้หน้ากาก Guy Fawkes กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีแต่ "หนังฝรั่ง" เท่านั้นแหละ ... แล้วความหมายของหน้ากาก Guy Fawkes ตามที่บอกเล่าไว้ในหนังเรื่องนั้นคืออะไรผมก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะผมตั้งใจดูแค่ Natalie Portman เท่านั้นเอง ... :D
กระทั่งมีการเอ่ยอ้างถึงหน้ากาก Guy Fawkes จนกลายเป็น "กระแส" ในสังคมไทยนั่นแหละ ผมค่อยนึกอยากจะไปค้นความหมายกับที่มาที่ไปของ "การใช้สัญลักษณ์" ดังกล่าว เพื่อที่จะรู้กับเขาบ้างว่า จริงๆ แล้วมัน "สื่อสาร" ถึงอะไรกันแน่ ?! ... แต่พอรู้เรื่องราวอันเป็นประวัติส่วนหนึ่งของ Guy Fawkes แล้ว ผมกลับไม่ค่อยชอบสัญลักษณ์ของแกซะงั้น ... ??!! ... อันนี้เป็นเรื่องของ "ความรู้สึก" หรือ "รสนิยม" ส่วนตัวล้วนๆ เลยครับ ไม่เกี่ยวกับเหตุผลอะไรทั้งหมด ... :D ... เพราะฉะนั้น จากเดิมที่ผมก็ไม่ค่อยจะสนใจเจ้า "หน้ากากขาว" นี้อยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นคำถามขึ้นมาในใจว่า "ทำไมเราถึงต้องใช้สัญลักษณ์ที่เราไม่ชอบที่มาของมันด้วยวะ ?!"
จริงอยู่ที่มันก็เป็นแค่ "สัญลักษณ์" ที่กลุ่มบุคคลหนึ่งๆ "ใช้ร่วมกัน" เพื่อแสดง "การต่อต้านอำนาจรัฐ" ... แต่ถ้ามันเป็น "แค่" สัญลักษณ์ธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป มันก็จะไม่มี "ความสลักสำคัญ" อะไรเลยงั้นสิ ... ?! ... แล้วถ้ามันมี "ความสลักสำคัญ" ขนาดที่กลุ่มบุคคลหนึ่งๆ "ต้องการใช้ร่วมกัน" จริงๆ ... ผมก็คิดว่ามันควรจะมี "ความพิถีพิถัน" ในการ "เลือกใช้" ให้มากกว่านี้ ไม่ใช่นึกอยากจะหยิบอะไรขึ้นมาตามกระแสของคนอื่นประเทศอื่นอย่างไม่ต้องคิดอะไรเลย ... รึเปล่า ?! ... หรือเราควรจะ "เลือกใช้สัญลักษณ์" ให้มี "ความสอดคล้อง" กับสิ่งที่กลุ่มบุคคลหนึ่งๆ พยายามสื่อสารเพื่อ "เรียกร้องต้องการ" ... ดีกว่ามั้ย ??!! ... ถ้า "แค่" ขอให้ใช้ "สัญลักษณ์อะไรก็ได้" ร่วมกัน ... ไม่เอา "ปลัดขิก" ไปซะเลยล่ะ ??!!
ผมเข้าใจเอาเองนะครับว่า การนำ "สัญลักษณ์สำเร็จรูป" ที่มีอยู่แล้วมา reuse กันเฉพาะกลุ่ม คงเป็นวิธีการที่ "ง่ายกว่า" เพราะอย่างน้อยมันก็สามารถ "สื่อ" ถึง "ความเป็นกลุ่มก้อน" ของกลุ่มบุคคลที่คิดเหมือนๆ กันได้อย่างทันอกทันใจพอสมควร เนื่องจากทุกๆ คนจะสามารถ catagorize ตัวเองว่ามีความคิดเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ "เลือกใช้สัญลักษณ์เดียวกัน" นี้ได้ โดยไม่มีใครต้องต้องเสียเวลาไปคิดหรือออกแบบ "ตราสัญลักษณ์" ขึ้นมาใหม่ให้ต้องพิจารณาร่วมกัน ... แม้ว่า "ความหมายแห่งสัญลักษณ์" ที่ว่านั้น อาจจะมีความผิดเพี้ยนไปจากเรื่องราวของมันเมื่อประมาณ 4 ศตวรรษที่แล้วก็ตาม ... แต่ ... บังเอิญว่า ผมไม่นิยมการ categorize ตัวเองแบบนี้ไง ... เท่านั้นแหละ !! ... :D
ดังนั้น แม้ว่าผมจะเห็นด้วยกับ "การต่อต้านอำนาจเฮงซวยของรัฐ" แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการ "เลือกใช้" หน้ากาก Guy Fawkes เพราะมันมีความเป็นมาที่อยู่บนพื้นฐานของ "ความขัดแย้ง" ทางแนวคิดและศรัทธา ... ก็ถ้า "รัฐ" ไม่ได้ใช้ "อำนาจ" อย่าง "เฮงซวย" ล่ะ ?! ... ถ้า "รัฐ" เลือกที่ใช้ "อำนาจ" เพื่อผดุง "ความเป็นธรรม" ในสังคม ไม่ว่าจะมีใครชอบใจหรือไม่ชอบใจแค่ไหนก็ตามล่ะ ??!! ... เราจะ "ต่อต้านอำนาจรัฐ" ด้วยมั้ย ??!! ... ผมมี "ความเชื่อ" อยู่อย่างหนึ่งว่า หลายๆ คนที่ร่วมอยู่ในกลุ่ม "ผู้ใช้สัญลักษณ์" Guy Fawkes นั้น น่าจะต้องการเรียกร้อง "ความถูกต้อง" และ "ความยุติธรรม" ของ "การใช้อำนาจรัฐ" ... ไม่ใช่ "ต่อต้านอำนาจรัฐ" ... ไม่ใช่ "ต่อต้านเผด็จการ" ... เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของ "ทุกระบอบการปกครอง" ก็คือ "การสร้างความเป็นธรรม" ให้เกิดขึ้นในสังคม ... ความเป็นระบอบใดระบอบหนึ่งจึงไม่เคยสำคัญเท่ากับ "ความยุติธรรม" ที่ระบอบนั้นๆ หยิบยื่นให้กับผู้คนในสังคม ... เสมอ !!?? ... ผมก็เลยคิดว่า เรามี "สัญลักษณ์สำเร็จรูป" อื่นที่ "ตรงความหมาย" มากกว่าหน้ากากของ Guy Fawkes ซึ่งกลายมาเป็น "กระแส" เพราะ "ความบ้าจี้" ของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายรัฐบาลแท้ๆ ... !!? ...
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ หน้ากาก Guy Fawkes ซึ่งถูกทำให้โด่งดังจนเป็นที่นิยมกันอยู่นั้น มีใครยืนยันได้มั้ยครับว่า มันไม่มี "เงื่อนงำทางการค้า" ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อหน้ากากดังกล่าวเป็นผลงานการออกแบบที่ Time Warner ยังเป็นผู้ถือครอง "ลิขสิทธิ์ทางการค้า" อย่างเบ็ดเสร็จเพียงคนเดียวในเวลานี้ ... ??!! ... การใช้หน้ากาก Guy Fawkes เป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงนู่นประท้วงนี่จนโด่งดังกลายเป็นข่าวไปทั่วโลกนั้น ... รู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของ "การโฆษณา" โดย Time Warner ซะเอง ??!!
แล้ว "นกฮูก Knowly" ก็ใส่ "หน้ากาก" เป็น "ครั้งแรก" หลังจากถูก "เลือกใช้" ให้เป็น "สัญลักษณ์ประจำตัว" มาร่วมสิบปี ... แต่การนำเอา "หน้ากาก" ของ "เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ยุติธรรม" ในความรู้สึกของใครต่อใครหลายคนมาเล่นนั้น ... จะดีกว่ามั้ย ?! ... จะเหมาะสมกว่ามั้ย ?! ... ผมไม่รู้หรอกครับ !!?? ... เก้าะ ... ผมชอบของผมแบบนี้นี่นา ... ใครจะทำไมเหรอ ?! ... :D
No One Is Perfect
จู่ๆ ผมก็นึกถึง "วลีโหลๆ" ที่หลายคนชอบหยิบยกขึ้นมาพูด ... โดยมีบางคนที่พูดในเชิงตำหนิผู้อื่นว่า "อย่าหลงตัวเอง" ให้มันมากนัก เพราะไม่มีใครหน้าไหนหรอกที่ปราศจากข้อบกพร่อง ... บางคนก็พูดเพื่อ "ปลอบประโลมความไม่สมประสงค์ของตัวเอง" ในบางสิ่งบางเรื่อง แล้วคิดสั้นๆ แค่ว่า ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่รู้จะดันทุรังไปอีกทำไม ... บางคนก็พูดเพื่อ "เตือนสติ" ตัวเองว่า "อย่าท้อแท้สิ้นหวังในทุกสิ่ง" เพราะไม่มีใครหรือไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบจนไม่สามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านั้นได้อีกแล้ว ... ฯลฯ ... มันคือหนึ่งในวลีที่มักจะถูกเอ่ยอ้างอย่างหลากความหมายหลายอารมณ์ ตามแต่กาละ-เทศะของการเอ่ยอ้างแต่ละครั้งของแต่ละบุคคล ... เพียงแต่โดยมากแล้ว คำว่า One ในวลีดังกล่าวมักจะถูกกำหนดความหมายให้เกี่ยวข้องกับ "ความเป็นบุคคล" มากกว่าแง่มุมอื่นๆ เท่านั้นเอง ... ;)
แล้วเราจะคิดให้มันกระเดียดไปหมายถึงด้านอื่นๆ มั่งได้มั้ยล่ะ ?! ...
- มันจะหมายถึง "ระบอบการปกครอง" ไม่ว่าจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งของ "ฝ่ายเผด็จการ" หรือ "ฝ่ายประชาธิปไตย" ได้มั้ย ?!
- มันจะหมายถึง "ระบบเศรษฐกิจ" ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดแบบ "สังคมนิยม" หรือ "ทุนนิยม" ได้รึเปล่า ?!
- หรือมันจะสามารถหมายถึง "ระบบการบริหารจัดการ" ไม่ว่าจะ "เปิดกว้าง" หรือ "ควบคุม" ไม่ว่าจะในระดับไหนๆ ก็ตามด้วยหรือไม่ ?!
- หรือมันน่าจะหมายถึง "สาขาวิทยาการ" หนึ่งๆ ที่ต่างก็มีความโดดเด่นเฉพาะด้านของตน แต่ไม่มีสาขาใดที่ครอบคลุมทุกรายละเอียดของทุกเรื่อง ?!
- หรือมันควรจะหมายความว่า "ความเป็นเอกภาพใดๆ ล้วนไม่มีความสมบูรณ์แบบ" ... ??!! ... งั้นต้อง "ทะเลาะเบาะแว้งกัน" รึไงถึงจะดีกว่า ... ??!!
- ฯลฯ
ในขณะที่สังคมไทยยังคงวนเวียนอยู่กับ "วาทกรรมแห่งความขัดแย้ง" อย่างไม่ยอมโงหัว ... บ้างก็อ้าง "หลักวิชาการ" ที่ตนท่องจำจากเขามาราวกับเป็น "สุดยอดเคล็ดวิชา" ที่ล้ำเลิศประเสริฐสุดในปฐพี ... บ้างก็อ้าง "สัจจนิยมร่วมสมัย" ที่ผิดเพี้ยนเป็นอื่นไปไม่ได้ในทุกดินแดนของระบบสุริยจักรวาล ... บ้างก็อ้าง "อุดมการณ์อันสูงส่ง" ของหมู่มวลมนุษยชาติ โดยเชื่อว่ามีแต่เหล่า "เดียรัจฉาน" เท่านั้นที่จะไม่เข้าใจ ... บ้างก็อ้าง "วัฒนธรรมประเพณี" ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตชาติอันไกลโพ้นจนไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงไปเพื่ออะไรอีก ... บ้างก็อ้าง "บทบัญญัติแห่งกฎหมาย" ราวกับเป็นอาญาสวรรค์ที่ปราศจากช่องโหว่รอยรั่ว หรือข้อควรตำหนิติติงใดๆ ที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขก่อนการบังคับใช้อย่างเหมาะสม ... ฯลฯ ... มีการจำแนกแจกแจงผู้คนออกเป็นพวกเป็นกลุ่ม ราวกับ "การคัดแยกสายพันธุ์อันบริสุทธิ์" ของบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย เพื่อมิให้ "ความมีอัตลักษณ์ประจำกลุ่ม" ต้องเสื่อมเสียไปกับ "การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์" ... ราวกับกำลังจะบอกกับ "คนทั้งโลก" ว่า ... "no one but me is perfect" ... ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาแห่ง "ความขัดแย้ง" นั้น ต่างฝ่ายต่างก็เหมาเอาเองว่า มีแต่ฝ่ายของตนเท่านั้นแหละที่เป็น "คน" ... ??!!
การที่ใครหลายคนมักจะเหมาๆ เอาเองว่า ... ไอ้นั่นดี, ไอ้นี่ถูกต้อง, หรือไอ้ไหนที่มันสมบูรณ์แบบนั้น ... ลึกๆ ลงไปแล้วก็เป็นเพราะว่า เมื่อ "ตัวมันเอง" ฝักใฝ่ไปในทางไหน มันก็จะ "ทึกทักของมันไปเอง" ว่า ไอ้นั่น, ไอ้นี่, หรือไอ้ไหน "ของมัน" นั่นแหละที่ดี, ที่ถูกต้อง, ที่สมบูรณ์ ... เพื่อที่จะสนองราคะลึกๆ ในใจของ "ตัวมันเอง" ว่า ตัวกูนั้นดี, ตัวกูนั้นถูกต้อง, ตัวกูนั้นสมบูรณ์แบบ ... แล้วก็พานไม่ยอมพิจารณาถึงข้อไม่ดี, ข้อไม่ถูก, และข้อไม่สมบูรณ์ของสิ่งเหล่านั้นไปซะ เพื่อจะถนอม "คุณค่าอันแสนจะจอมปลอม" ในใจตนต่อไป กับพยายามคุ้ยแคะแกะเกาสิ่งไม่ดี, สิ่งไม่ถูกต้อง, สิ่งที่บกพร่องไม่สมบูรณ์ของผู้อื่นฝ่ายอื่นมาโพนทะนาให้เป็นที่อับอาย เพื่อหวังจะทำลายความน่าเชื่อถือของผู้อื่นฝ่ายอื่นไปวันๆ ... เท่านั้น !!??
No One Is Perfect จึงน่าจะหมายความว่า "การไร้ซึ่งอัตตาที่คอยรวมกูแบ่งมึงนั่นแหละคือความสมบูรณ์แบบ" ... มั้ง ??!!
... มั้ ง ... เ ห ร อ ...??!! ...
เพราะจริงๆ แล้วคำว่า perfect ที่แปลว่า "สมบูรณ์แบบ" นั่นน่ะ มันมาจากการผสมคำ 2 คำเข้าด้วยกัน คือ per ที่แปลว่า "สิ้นสุด", "ลุล่วง" กับคำว่า fecere ที่แปลว่า "กระทำ" ดังนั้น ความหมายตามรูปคำเดิมของ perfect จึงหมายถึง "สิ้นสุดแห่งการกระทำ" ... แน่นอนที่มันอาจจะได้รับการ "ตีความ" ว่า "ทำเสร็จแล้ว", "ทำเรียบร้อยแล้ว", "ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว", ... จนเพี้ยนมาเป็นความหมายว่า "เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์" และ "สมบูรณ์แบบ" ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน ... แต่ ... ถ้าแปลกันอย่างตรงๆ ตัวจริงๆ ก็ต้องแปลว่า "สิ้นสุดแห่งการกระทำ" ซึ่งคำจีนที่ใกล้ที่สุดก็น่าจะเป็น ... 無為 (wú wèi, อู๋เว่ย) ... หรือ ... "ปราศจากการกระทำ" !!??
ถ้าอย่างนั้น ... No One Is Perfect ก็ควรจะมีความหมายตามตัวอักษรว่า "การไร้ซึ่งอัตตาของแต่ละบุคคลนั่นแหละคือความสิ้นสุดแห่งการกระทำ" หรือให้มันห้วนๆ ด้วนๆ กว่านั้นก็อาจจะแปลว่า "ไร้ซึ่งตัวตนคือไร้ซึ่งการกระทำ" ... เอ้า ... งั้น "ปราชญ์ย่อมกระทำโดยการไม่กระทำ" ก็คืออย่างนี้รึเปล่าหว่า ??!! ... แล้วนี่มันกลายเป็น "เต๋า" ไปได้ไงวะเนี่ย ??!! ... :D
เวไนยสัตว์ - เวไนยบุคคล
เท่าที่เคยรับรู้มานั้น คำว่า "เวไนยสัตว์" หมายถึง สัตว์ผู้ควรแก่การแนะนำสั่งสอน, หรือ สัตว์ผู้พึงดัดได้สอนได้ ... แต่สำหรับยุคสมัยที่ผู้คนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีเวลาถูกใครเรียกว่า "สัตว์" นั้น คำที่ว่านี้ก็ควรจะถูกเปลี่ยนไปเป็นคำว่า "เวไนยบุคคล" เพื่อที่จะแปลว่า "บุคคลผู้สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้" เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเมื่อนึกถึง "สัตว์" ทั้งหลายที่ได้รับการฝึกสอนให้แสดงการละเล่นต่างๆ อย่างที่มนุษย์ต้องการ ... ;)
ยังไงเรียกว่า "การฝึกสอน" ?! ... ยังไงเรียกว่า "การอบรม" ?! ... หรือ ... ยังไงเรียกว่า "การพัฒนา" ?! ... จู่ๆ คนเราจะโตขึ้นมาเป็นนักวิ่งลมกรด, เป็นนักกีฬาระดับโลก, เป็นนักดนตรี, เป็นนักร้อง, เป็นนักเต้น, เป็นนักเขียน, เป็นนักแต่งเพลง, ฯลฯ, หรือเป็นนักอะไรต่อมิอะไร โดยไม่ต้อง "แข็งขืน" ต่อ "ธรรมชาติของตัวเอง" ได้มั้ยล่ะ ??!! ...
ผมเชื่อว่า "ไม่" !! ...
ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ใครคนหนึ่งคลั่งไคล้ไหลหลงอย่างหัวปักหัวปำ แต่นั่นก็ไม่ใช่หลักประกันว่า เขาจะสามารถก้าวถึงจุดสูงสุดของสิ่งที่เขารักได้โดยไม่ต้อง "ทุ่มเท" แรงกายแรงใจใดๆ ในการ "ฝึกฝนตนเอง" อย่างจริงจัง ... ในทำนองเดียวกัน ... ต่อให้ใครคนหนึ่งเกลียดแสนเกลียดในสิ่งที่เขาถูกเคี่ยวเข็ญให้ต้องกระทำ เขาก็ยังอาจก้าวถึงจุดสูงสุดของสิ่งนั้นได้ หากเขาไม่ละทิ้งความอดทนต่อการเคี่ยวกรำทั้งหลายทั้งปวงที่ถาโถมใส่เขาอย่างสม่ำเสมอ ... เหมือนดังที่ จางซานฟง (張三豐) เคยกล่าวไว้ว่า "ในการฝึกฝนพัฒนาตนนั้น ความเพียรเป็นต่อ พรสวรรค์เป็นรอง" ... นั่นเอง ...
นี่ก็คือความหมายของ "เวไนยสัตว์" หรือ "เวไนยบุคคล" ... !!?!
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีนักวิชาการบ้าจี้ กับบุพการีบ้าบอหลายคนที่หลงเชื่อ "ตำรานอกรีต" ของพวกฝรั่งตาน้ำข้างบางคนที่เสนอว่า เราไม่ควรฝืนหรือบังคับจิตใจของเด็กๆ เพราะมันจะทำให้เขากลายเป็นคนเก็บกด ซึ่งจะบั่นทอนความสุขในชีวิตของพวกเขา ถึงขั้นอาจจะเลวร้ายจนกลายเป็นคนวิกลจริตผิดมนุษย์ไปได้ในภายหลัง ทั้งพ่อแม่และครูบาอาจารย์ควรจะพะเน้าพะนอเอาใจพวกเขาให้ดี เขารักอะไร เขาอยากอะไร รีบประเคนถวายให้อย่าได้ขัดขวาง เพื่อให้พวกเขา "พัฒนาศักยภาพที่แท้จริง" ของพวกเขาเองออกมาได้อย่างเต็มที่ !!?? ... คุ้นๆ มั้ย ?! ... รักวัวให้ผูก รักลูกห้ามแตะ น่ะ !!?? ... สอดคล้องกับแนวคิด "เสรีประชามหาภัยร้ายแรงแห่งสังคมอันอุดมด้วยความหลากหลายทางชาติกำเนิดและเผ่าพันธุ์" อย่างลงตัวพอดีเป๊ะเลยมั้ยล่ะ ??!! ... ทุเรศ !!!
แน่นอนครับว่า "การฝืนธรรมชาติ" อย่าง "ไม่มีขอบเขต" นั้นเป็นเรื่องเหลวไหล การที่พ่อแม่บังคับให้ลูกปลูกขนขี้เต่าให้ยาวๆ เพื่อจะใช้ฝึกบินแทนปีกของนกนั้น เป็นเรื่องเพ้อเจ้อบ้าบอที่ไม่น่าจะมีใครยอมรับได้อยู่แล้ว ... แต่การยอมให้ลูกๆ ปฏิบัติตัววิปริตผิดเพศ ก็ไม่ควรจะได้รับการส่งเสริมเช่นเดียวกัน ??!! ... หรือไม่ใช่ ??!! ... พลังแห่งศักยภาพอันสร้างสรรค์ของมนุษย์ ล้วนเปล่งประกายได้เพราะความวิริยะอุตสาหะในการฟันฝ่าข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ เช่นเดียวกับเพชรที่ต้องผ่านการเจียรไน หรือเหล็กกล้าเนื้อดีที่ต้องผ่านการเคี่ยวกรำจากการหล่อหลอมด้วยความร้อนที่ยากจะทนทาน ... แล้วไปได้ภูมิรู้มาจากนรกขุมไหนรึไง ถึงได้ "เชื่ออย่างดักดาน" ว่า "การตามใจ" จะช่วยให้เด็กๆ สามารถพัฒนาตัวเองจนกลายเป็น "ยอดคน" ขึ้นมา ??!! ... เ ห อ .. เ ห อ ... เพ้อหรือเรอล่ะนั่น ??!!
"ความไม่มีกรอบ" หรือ "ความไม่มีกฎเกณฑ์" นั้น ไม่เคยสร้างสรรค์สิ่งใดขึ้นมาได้เลยซักครั้งเดียว !!??
สวัสดีวันเก่าๆ
แล้วผมก็เลือกส่งท้ายปีเก่าด้วยการไปนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ คุณแม่ที่นอนป่วยมาหลายปี ซึ่งทุกวันนี้ก็คงจะต้องบอกว่า สุขภาพของท่านอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ไม่ได้แม้แต่การสื่อสารกับใครต่อใครเหมือนเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ... ท่านนอนนิ่งๆ อย่างสงบบนเตียงคนไข้ในห้องนอนเดิมของท่าน มีการขยับตัวบ้างเล็กน้อย แต่ก็เชื่อว่าคงจะไม่สบายตัวมากนัก เพราะกล้ามเนื้อแขนขามีอาการที่ค่อนข้างจะเกร็งตัวเป็นระยะๆ บางครั้งท่านก็ลืมตามามองดูสิ่งต่างๆ แต่ก็แทบจะไม่สามารถกรอกนัยตาไปรอบๆ ได้เหมือนปรกติ ทำให้สิ่งที่ท่านมองเห็นส่วนใหญ่ก็คือเพดานห้องเท่านั้นเอง ...
วันส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่มักจะเป็นเทศกาลที่ผู้คนส่วนใหญ่วิ่งวุ่นไปกับการอวยพรผู้หลักผู้ใหญ่ และร่วมสังสรรค์กับพรรคพวกเพื่อนพ้อง ... หลายคนพยายามมองหาแต่สิ่งดีๆ ที่จะมอบความสดใสให้แก่จิตใจของตนเองเพื่อจะเป็นกำลังใจในการดิ้นรนต่อไปอีกหนึ่งปี ... สถานที่หลายแห่งจัดให้มีงานรื่นเริงเพื่อเถลิงศกใหม่กันอย่างอึกทึกครึกโครม ... บ้างก็จัดให้มีการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมกันแบบข้ามปีหรือข้ามภพข้ามชาติไปเลย ... บ้างก็จัดให้มี "พิธีนับถอยลัง" เหมือนกับจะเตือนสติว่าอย่าเอาแต่ "นับไปข้างหน้า" จนลืมเลือนผู้คนที่คอยสนับสนุนเราอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ... ฯลฯ ... แต่ส่วนใหญ่ของทุกสถานที่ต่างก็มุ่งอยู่ที่การ "มอบความสุข" ให้แก่ผู้ที่มีโอกาสไปร่วม "พิธีการ" โดยหวังว่าทุกๆ คนจะนำความสุขอันล้นปรี่เหล่านั้นกลับไปแบ่งปันให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสมาร่วมงาน ...
ในความเงียบขณะนั่งมองใบหน้าอันสงบนิ่งของคุณแม่ซึ่งนอนป่วยอยู่นั้น ผมนึกถึงคำถามที่หลายคนอาจจะไม่อยากถามในเทศกาลรื่นเริงนี้ว่า ... หากผู้ที่นอนป่วยอยู่นั้นเป็นตัวเราเองล่ะ? ... หากคนที่ป่วยอยู่นั้นคือผู้ที่เป็นลูกล่ะ? ... ผู้ที่เป็นพ่อ-แม่จะยังมีกะจิตกะใจไปปฏิบัติธรรมข้ามปีหรือข้ามภพข้ามชาติกันที่ไหนรึเปล่า? ... พวกท่านจะยังมีความกระหายที่อยากไปร่วม "พิธีนับถอยหลัง" กันตาม "ลานคนระเริง" อยู่มั้ย? ... หรือยังเหลืออารมณ์ที่อยากจะไปเฉลิมฉลองข้ามวันข้ามคืนในแหล่งบันเทิงกับพรรคพวกเพื่อนฝูงของท่านเหมือนคนอื่นๆ ในสังคม? ... ซึ่งผมคิดว่า "ไม่" !!!??? ... แต่ในสถานการณ์ที่สลับตำแหน่งกัน ทำไมลูกๆ หลายคนถึงเลือกในสิ่งที่ตรงข้ามกันด้วยล่ะ ??!! ... หรือความผูกพันในฐานะ "ผู้ให้" จะมีความลึกซึ่งยิ่งกว่าการเป็น "ผู้รับ" เสมอ ??!!
คุณแม่นอนหลับอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ผมนั่งมองท่านอย่างเงียบๆ กับคำถามที่ผมไม่เคยพอใจในคำตอบที่เห็นอยู่ ... ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นเวลานานแค่ไหน ... เพราะผมไม่รู้สึกว่าการได้อยู่กับพ่อ-แม่ตัวเองต้องมีกำหนดตารางเวลาเหมือนกับกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตที่วุ่นวายของผมเอง ... แล้วจู่ๆ ท่านก็ลืมตาขึ้น ... มองมาด้วยสายตาที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ว่าท่าน "ดีใจ" ... ผมก็ดีใจ ... ในสภาพร่างกายที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองของท่านนั้น ท่านกลับสามารถมอบความดีใจ, ความสุขใจ, ความอบอุ่นใจ, ฯลฯ ให้กับลูกที่เคยเป็นแต่ "ผู้รับ" อย่างผมในวันส่งท้ายปีเก่า ...
... คือของขวัญและพรอันมีค่าสูงสุดที่ผมได้รับมาในช่วง "เทศกาลรื่นเริงสากล" นี้ ... ซึ่งผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็จะได้รับพรอันยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยการเหลียวไปสบตากับผู้ที่พร้อมจะยืนอยู่ข้างหลังชีวิตของพวกเราตลอดกาล ...
ในโลกที่ไม่อาจเชื่ออะไรใคร
ปี พ.ศ.2553 ... ทันที่ที่เสียงปืนแตกและมีคนบาดเจ็บล้มตาย ... คนแรกที่โดนด่าก็คือหัวหน้ารัฐบาล ?!
ปี พ.ศ.2555 ... ทันทีที่ละครการเมืองถูกระงับการออกอากาศ ... คนแรกที่โดนด่าก็คือหัวหน้ารัฐบาล ?!
ถ้าผมเชื่อว่ามีการยิงคนของตัวเองเพื่อระดมเสียงด่าใส่รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม ผมควรจะเชื่อว่ามีการปิดปากตัวเองเพื่อยืมปากคนอื่นด่ารัฐบาลที่ตนรังเกียจด้วยมั้ย ?! ... หรือว่าทั้งสองเหตุการณ์คือละคร "เหนือเมฆ 1" และ "เหนือเมฆ 2" ที่ต้มคนดูจนเปื่อยไปทั้งบ้านทั้งเมือง ??!!
ถ้ารัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ "ไม่โง่" ขนาดสั่งฆ่าประชาชนให้เป็นภาพลบต่อรัฐบาลตัวเอง ... งั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "โง่" ขนาดสั่งฆ่าละครทีวีจนตัวเองต้องโดนด่ารึไง ?! ... ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายล้วนต้องยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่มี "หลักฐานที่เป็นคำสั่งฆ่า" จากฝ่ายของตนอย่างแน่นอน ... "แกนนำ" กับ "คนทำละคร" ซึ่งต่างก็เป็น "กองเชียร์คนละขั้ว" ย่อมต้องโบ้ยว่าไม่ใช่ความคิดของฝ่ายตนแง๋ๆ ... งั้นทุกอย่างก็อุบัติขึ้นเองเหมือนกับ Big Bang งั้นสิ ?!?!
ในโลกของการแสวงประโยชน์จาก "ความรู้สึก" ของผู้คนนั้น สื่อชนิดต่างๆ ย่อมเป็นเครื่องมือของ "ผู้กำกับ" ที่จะใช้เพื่อ "สร้างอารมณ์" ให้ "ตัวละคร" หนึ่งๆ โลดแล่นไปในทิศทางที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า ... ซึ่งเป็นไปได้มั้ยล่ะว่า "ประชาชน" ทั้งหมดนั่นแหละคือ "ตัวละคร" ที่กำลังถูกชักนำไปในทิศทางต่างๆ ที่ "ผู้กำกับ" ของแต่ละฝ่ายต้องการ ??!! ... พวกเราอาจจะไม่ได้อยู่ใน "โลกที่ไม่อาจเชื่ออะไรใคร" แต่อาจจะอยู่ใน "โลกที่ถูกทำให้เชื่อโดยใครบางคน" ตลอดเวลา เพราะพวกเขาเห็นพวกเราเป็นเพียง "ตัวละคร" เท่านั้น ... รึเปล่า ?!
หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่า "การเมืองภาคประชาชน" ... ซึ่งหมายถึง "การเมือง" ที่มีประชาชนทั้งหมดเป็นเพียง "ดาราแสดงนำ" เท่านั้น ??!! ... เพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่การปกครองด้วยระบอบ "จิ้งหรีดธิปไตย" ที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมจะกัดกันโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง ??!!