เหมา : เรื่องที่คุณไม่รู้

reposted of 03.04.2013 | 14/5/2013 | Comments: 2

ชื่อหนังสือ: เหมา : เรื่องที่คุณไม่รู้

ผู้แแต่ง: จุงชาง และ จอน ฮอลลิเดย์
ผู้แปล: อายุรี ชีวรุโณทัย เบล
การเข้าเล่ม: ปกแข็ง ; 1,168 หน้า
ผู้จัดพิมพ์: สำนักพิมพ์แสงดาว; พิมพ์ครั้งแรก ; ๒๕๕๒
ภาษา: ไทย
ISBN-13: 9786165080262
ขนาดเล่ม: 160 x 220 มม.

Book Title: Mao : The Unknown Story

Author(s): Jung Chang & Jon Halliday
Format: Paperback ; 801 pages
Publisher: Anchor ; November 14, 2006
Language: English
ISBN-10: 0679746323
ISBN-13: 9780679746324
Product Dimensions: 9.2 x 6.3 x 1.7 inches

นี่คือหนังสือที่ไม่ได้ซื้อตั้งแต่ตอนที่ลดราคา เลยพานไม่ยอมซื้อตอนที่ขายราคาเต็มซะงั้น !! ... 😃 ... ซึ่งมีคำโปรยบนหน้าเว็บของหนังสือเล่มนี้ว่า ...

" ...

ภายใต้ภาพลักษณ์ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์และผู้นำประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ ผู้ใช้วิสัยทัศน์กว้างไกลผลักดันชนชาติหลังม่านไม้ไผ่กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเศรษฐกิจในโลกปัจจุบัน แต่ก่อนหน้าการเปิดประเทศเจริญสัมพันธ์กับนานาอารยะ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของจีนยุคใหม่เช่นทุกวันนี้ เหมา เจ๋อ-ตงและพรรคคอมมิวนิสต์เคยกระทำเรื่องใดก่อนจะพาตนเองขึ้นสู่อำนาจ และสิ่งที่เขากระทำนั้นเลวร้ายและส่งผลกระทบถึงคนหมู่มากเช่นไร

เหมา : เรื่องที่คุณไม่รู้ คือหนังสือที่เปิดประเด็นร้อนแรงในหน้าประวัติศาสตร์ชาติจีน โดย จุง ชาง ผู้เขียน Wild Swans " (บันทึกความทรงจำที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของหญิงสาวชาวจีนสามชั่วอายุคน ภายใต้การนำของ เหมาเจ๋อตง) ในเล่มนี้ผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวของเหมาตั้งแต่วัยเด็ก พื้นฐานครอบครัว แนวคิดเกี่ยวกับมาร์กซิส การเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ การเดินทัพทางไกล กระทั่งถึงวันที่เหมาลาจากโลกนี้ไป เป็นเรื่องราวในช่วงเวลาเดียวกับที่คนเกือบทั้งโลกรับรู้ แต่ทว่าข้อมูลที่ผู้เขียนเปิดเผยนี้ จะทำให้เราประจักษ์ว่า เหมาไม่ใช่เทพเจ้า เขาเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่งที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง และอาจทำเรื่องเลวร้าย หรือตัดสินใจผิดพลาด เพราะโมหะ โทสะ หรือกิเลสตัณหาที่เข้าครอบงำได้เช่นกัน

หนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งผู้ที่คล้อยตามและเห็นค้าน เนื่องจากเราต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่ประธานเหมาทำหลายอย่างก็สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศมากมาย อาทิเช่น เป็นผู้รวมชาติอีกครั้งหลังจากตกอยู่ภายใต้สงครามฝิ่น เป็นนักปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เพียงแต่ชาวจีน แต่รวมถึงผู้คนในอีกหลายประเทศต่างให้ความเคารพยกย่อง แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า การกระทำของเหมาในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมเช่นข้อมูลจุง ชางหรือนักประวัติศาสตร์คนอื่นๆ พยายามนำเสนอ ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอดอยากล้มตาย มีผู้คนถูกสังหารร่วม 10 ล้านคน ฯลฯ ซึ่งหากละเลยไม่กล่าวถึงจุดนี้ ก็จะทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์มีช่องโหว่ และทำให้คนรุ่นหลังรู้เพียงประวัติศาสตร์ที่ถูกปั้นเติมเสริมแต่งเท่านั้น

... "

ความจริงแล้ว ท่านประธานเหมาเจ๋อตงคือหนึ่งในจำนวนบุคคลที่มี "ชีวประวัติอันโลดโผน" ด้วยเหตุผลของ "ความเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าประวัติศาสตร์" ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีหลายๆ แง่มุมที่บอกเล่าต่อๆ กันมาอย่างเกินจริง โดยมีอีกหลากหลายแง่มุมที่ละไว้ไม่ยอมเอ่ยถึง พร้อมๆ กับมีอีกบางแง่มุมที่เติมเข้าไปลอยๆ แบบไม่มีหลักฐานใดๆ ... เพื่อ "สถาปนาความเป็นไอดอล" ให้แก่อนุชนรุ่นต่อๆ ไป ... ไม่ต่างไปจากทุกเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของทุกชนชาติที่ล้วนต้องมี "สมมุติเทพ" และ "สมมุติมาร" ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยต่างๆ หรือศาสดาของพระบรมศาสนาไหนๆ ของโลก ไม่เว้นแม้แต่จอมวายร้ายที่ใครต่อใครพากันแช่งชักหักกระดูกก็ตาม ฯลฯ ... ซึ่งทั้งหมดนั้นก็มักจะมี "การสมคบคิด" ในระดับใดระดับหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่อยู่เบื้องหลัง ... เสมอ ... !!?

ข้อถกเถียงในหลายๆ เหตุการณ์ของหน้าประวัติศาสตร์นั้น มีบางแง่บางมุมที่ชวนให้น่าคิด น่าติดตาม และน่าศึกษาค้นคว้า แต่ไม่ว่าเราจะพยายามยืนยันความจริงเดิมด้วยหลักฐานใหม่ หรือพยายามค้นหาความจริงใหม่จากหลักฐานเพิ่มเติมก็ตาม สิ่งที่น่าจะเป็นสาระมากกว่าก็คือ ... เราจะ "เชื่อ" ของเราแบบไหน ?! ... แล้วเราจะพัฒนา "ความเชื่อ" นั้นๆ ให้ต่อยอดเป็นพัฒนาการที่ดีกว่าสำหรับอนาคตด้วยวิธีการแบบใดได้บ้าง ?! ... จำเป็นแค่ไหนที่หน้าประวัติศาสตร์ทั้งหมดจะต้องมีแต่ "เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง" โดยปราศจาก "การแต่งแต้มสีสัน" ใดๆ เข้าไป ?! ... มีแต่ "ความจริง" เท่านั้นรึเปล่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมใดๆ ในอนาคต ?!! ... ฯลฯ ... ในเมื่อทุกชนชาติล้วนมี "ตำนาน" และ "นิทานพื้นบ้าน" ที่ไม่เคยต้อง "พิสูจน์" ใดๆ เป็นส่วนหนึ่งของ "รากเหง้าทางอารยธรรม" ของเผ่าพันธุ์ตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ??!!! ... อะไรคือ "ความจริง" ?! ... แล้วเราจะเอา "ความจริง" ไปทำอะไร ?! ...

คงเพราะความรู้สึกที่ว่า "ทุกหน้าประวัติศาสตร์ล้วนมีแต่คำถาม" นี่เองมั้ง ที่ทำให้ผมไม่เคยได้ตะแนนสวยๆ จากหมวดวิชาประเภทนี้เลยในสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ... ก็ในเมื่อผมไม่เคยเห็น "คำตอบ" จากหนังสือเล่มไหนๆ เลยนี่หว่า แล้วจะให้ผมตอบข้อสอบว่าอะไร ... วะ ??!! ... 😋

 

 

Armageddon Science

The Science of Mass Destruction | 13/5/2013

Book Title: Armageddon Science : The Science of Mass Destruction

Author(s): Brian Clegg
Format: Hardcover ; 304 pages
Publisher: St. Martin's Press ; October 26, 2010
Language: English
ISBN-10: 0312598947
ISBN-13: 9780312598945
Product Dimensions: 8.1 x 5.6 x 1.1 inches

เพิ่งจะติดตั้ง Dropbox และ Ubuntu One ลงไปในเครื่องของตัวเอง หลังจากที่สร้าง shortcut ให้กับ Google Keep ในเมนูประจำเครื่องได้เพียงไม่กี่นาที ซึ่งก่อนหน้านี้ผม ก็เคยติดตั้ง NixNote ซึ่งเป็น client ของ Evernote ไว้บน Linux โดยที่ยังไม่เคยใช้งานอะไรกับมันเลย ... :D ... เสร็จแล้วก็ติดตั้งทั้ง Dropbox, Ubuntu One, Google Keep ลงไปในโทรศัพท์มือถือที่มี EverNote รออยู่ก่อนเมื่อนานมาแล้ว ... ซึ่งก็ไม่เคยใช้งานอะไรกับมันอีกเหมือนกัน ... :D

Cloud System หรือที่บางคนมักจะเรียกเป็นภาษาไทยว่า "ระบบกลุ่มเมฆ" นั้น เป็นระบการให้บริการในอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงค่อนข้างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมันคือระบบการให้บริการที่มีวัตถุประสงค์หลักๆ อยู่ที่ การทำให้ "ทุกคน" สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลที่ตนเองต้องการได้จาก "ทุกที่-ทุกเวลา" ... ถ้า ... "สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต" ณ ขณะเวลานั้นๆ ได้ ... มันคือบริการหนึ่งที่ช่วยให้อุปกรณ์เคลื่อนที่ยุคใหม่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ต่างก็ขายดิยขายดีราวกับเป็นบ้า เพราะมันช่วยให้อุปกรณ์ตัวกระจิ๋วริ๋วเหล่านั้น สามารถก้าวข้าม "ความจำกัดจำเขี่ย" ของพื้นที่หน่วยความจำเพื่อการบันทึกข้อมูลของพวกมันไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ !!?? ...

... แล้วถ้า "ไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต" ล่ะ ??!! ...

คำตอบก็คือ ไฟล์ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่เราจะสามารถเรียกใช้งานมันได้อีกครั้งเมื่อมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอย่างที่ต้องการ ... เท่านั้นเอง !! ...

... เ ท่ า นั้ น เ อ ง ??!! ... เหรอ ??!!

... แล้วถ้า ... ผู้ให้บริการเหล่านั้นเกิดนึกอยากจะเลิกให้บริการซะล่ะ ??!! ... ทีนี้ ต่อให้มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอย่างที่ต้องการ เราก็น่าจะทำอะไรกับไฟล์ข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้อยู่ดี ... รึเปล่า ??!!

คำตอบก็น่าจะประมาณว่า ... ถ้ากลัวขนาดนั้นก็ต้องมี "ระบบกลุ่มเมฆ" ของตัวเองแล้วล่ะ !! ... หรือถ้าใช้บริการของคนอื่น มันก็ไม่น่าจะร้ายแรงขนาดนั้นหรอก เพราะไฟล์ที่ขึ้นไปอยู่บน "กลุ่มเมฆ" นั้น ทุกคนก็ต้องมีไฟล์สำรองอยู่ในอุปกรณ์อื่นๆ ของตัวเองอยู่แล้ว การใช้บริการที่มีอยู่ ก็เพื่อ "อำนวยความสะดวก" สำหรับการพกพาอุปกรณ์ และไฟล์ข้อมูลเท่านั้น ...

... มันจึงน่าจะเป็นไปได้มากเลยว่า ... ไฟล์ข้อมูลที่แต่ละคนเอาไปเก็บไว้บน "บริการกลุ่มเมฆ" นั้น ต่อให้หายไปไหน หรือเข้าถึงไม่ได้ ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไร ... รึเปล่า ??!! ... หรือ ... ถ้าจะใช้คำให้ได้ความหมายที่ตรงกว่านั้นก็อาจจะประมาณว่า "ไฟล์ขยะ" นั่นเอง !!??

... แล้วความคิดของผมก็ข้ามเรื่อง "ข้อดี", "ข้อเสีย", และ "ข้อเสี่ยง" ของ "ระบบกลุ่มเมฆ" ไป เพราะถึงยังไง ผมก็ยังไม่มีธุระที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับมันโดยตรงอยู่ดีในเวลานี้ ... แต่ผมย้อนนึกไปถึงปรากฏการณ์ "ก้มหน้าก้มตาละเลยสิ่งรอบข้างเพื่อคุยกับคนต่างทวีป" ของผู้คนในสังคมปัจจุบัน นึกถึง "ความสะดวกสบาย" ที่ผู้คนในสังคมยุคใหม่พากัน "เสพติด" อย่างไม่ลืมหูลืมตา ...

... มันจะเป็นยังไงบ้างนะ ถ้าระบบอินเทอร์เน็ตที่ทุกคนใช้งานอยู่นี้ เกิดล่มสลายลงไปอย่างกระทันหัน ?! ...

ผมไม่ได้สนใจที่ความเป็นไปได้ของมัน แล้วก็ไม่ได้สนใจที่แนวทางในการป้องกันยังไงด้วย ... แต่ผมสนใจแค่ว่า ... ถ้ามันล่มสลายอย่างกระทันหันขึ้นมาจริงๆ ในลักษณะที่อาจจะเรียกว่า Information Meltdown ตามชื่อบทหนึ่งในหนังสือเรื่อง Armageddon Science ของ Brian Clegg นั่นแหละ ...

... มันจะเป็นยังไงบ้างหลังจากนั้น?

... ปฏิกิริยาของผู้คนจะเป็นยังไง?

... การค้าและการพาณิชย์ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้มั้ย?

... สังคมของมนุษย์ถูกพัฒนามาถึงจุดที่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้า "สื่อสัญญาณไฟฟ้า" ที่ "ปราศจากตัวตน" เหล่านี้ได้ยังไง ??!!

... จริงๆ แล้ว ระบบคอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยเสริม "กระบวนทัศน์" ของผู้คนให้กว้างไกลยิ่งขึ้นกว่าเดิม หรือเพียงแต่ย้าย "สถานกักกันทางความคิด" ของผู้คนให้มืดบอดอยู่ในกรอบที่แตกต่างออกไปเท่านั้น ??!!

... มนุษย์น่าจะยังสามารถ "มีชีวิต" อยู่ต่อไปได้ ต่อให้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งหมดล่มสลายลงไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเราไม่ได้ "บริโภคข้อมูล" เป็นอาหารหลักตามธรรมชาติ ... แต่มนุษย์จะ "ดำเนินชีวิต" ต่อไปยังไง ??!! ... ในเมื่อ "สื่อสัญญาณไฟฟ้า" ภายใน "ระบบคอมพิวเตอร์" ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ "กระแสชีวิต" ภายในระบบเศรษฐกิจและสังคมไปหมดแล้ว ??!!

... สังคมทั้งสังคมได้ "เสพติดความสะดวกสบาย" จาก "ระบบสารสนเทศ" จนแทบไม่มีใครรู้อีกแล้วว่า เบื้องหลัง "ความสะดวกสบาย" เหล่านั้น มีอะไรบ้างที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติ หากปราศจาก "เครื่องมือ" ที่เชื่อมโยง "ข้อมูล" ทั้งหมดนั้นเข้าด้วยกัน ... ?!

... ฯลฯ

... "ความคุ้นเคย" ของการมี "ระบบสารสนเทศพร้อมใช้" อยู่ตลอดเวลาเหมือนทุกวันนี้ อาจจะทำให้พวกเราลืมไปหมดแล้วว่า ชีวิตที่ปราศจาก "การบริโภคข้อมูลอย่างบ้าคลั่ง" นั้นมันควรเป็นยังไง !!? ...

แล้วผมก็ย้อนนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า "หนังสืเล่ม" กับ "หนังสืออิเล็คทรอนิค" ...

... อะไรที่น่าจะคงทนถาวรกว่ากัน ?!

... อะไรที่ควรจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ากัน ?!

... หาก "หนังสือเล่ม" ต้องถึงกาลอวสาน แล้วเหลือเพียง "หนังสืออิเล็คทรอนิค" เท่านั้นที่กลายเป็นสื่อบันทึก "องค์ความรู้" ทั้งหมดของมวลมนุษยชาติเอาไว้ ... เราจะต้องเริ่มพัฒนา "องค์ความรู้" ทั้งหมดนั้นใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นรึเปล่า หาก "ระบบสารสนเทศ" ของทั้งโลกเกิดล่มลสายลงไปอย่างกระทันหันจริงๆ ??!!