The One Thing

10/3/2014


Book Title: The One Thing

Author(s): Gary Keller, Jay Papasan
Format: Paperback, 240 pages
Publisher: John Murray Publishers Ltd ; July 4, 2013
Language: English
ISBN-10: 1848549245
ISBN-13: 9781848549241
Product Dimensions: 9.1 x 6 x 0.8 inches

คงจะเป็นหนังสือ "น่าเบื่อ" เล่มแรกที่ผมอ่านมันไปเรื่อยๆ จนจบเล่ม ด้วยอารมณ์ที่น่าจะคล้ายกับการอ่าน "หนังสือสวดมนต์" เล่มหนึ่งเท่านั้นเอง ... :D ... เพราะเนื้อหาทั้งหมดตลอดเล่มหนังสือนั้น เป็นประเด็นพื้นๆ ที่หลายคนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยก็จะได้ปฏิบัติตามนั้น หรืออาจจะละเลยมันไปเพราะความวุ่นวายในภารกิจประจำวัน ... ซึ่งก็คือ ... "จงเลือกกระทำในสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดต่อเป้าหมายในชีวิตของเราเสมอ" ... โดยผู้เขียนทั้งสองพยายามอ้างอิงแนวคิดที่ว่านี้ของพวกเขากับ "ทฤษฎีโดมิโน" อันหมายถึงการบรรลุเป้าหมายสำคัญของชีวิต ด้วยการก่อ "ปฏิกิริยาลูกโซ่" จากการลงมือปฏิบัติภารกิจที่เป็น "หัวใจสำคัญที่สุด" ของทั้งหมด ให้สำเร็จลุล่วงไปอย่างถูกทิศทาง ... เท่านั้น !!? ... นั่นคือ The One Thing ที่แต่ละคนจะต้องค้นหาให้เจอจาก "เป้าหมาย" ที่ตนเองเป็นผู้กำหนดขึ้นมา ...

มันคือ "เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็รู้" ... แต่ก็เป็น ... "เรื่องง่ายๆ ที่ไม่มีวันสำเร็จ หากไม่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง" ซึ่งตลอดเล่มของหนังสือก็จะวนอยู่เพียงประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียว พร้อมกับข้อแนะนำกับตัวอย่างอีกหลากหลาย เพื่อเน้นย้ำว่า "Knowing is not enough, you must apply ; Willing is not enough, you must do" ดังคำกล่าวที่ Bruce Lee เคยกล่าวเอาไว้ ... 😉 ... ผมถึงว่า มันเหมือน "หนังสือสวดมนต์" ยังไงยังงั้นเลย !! ... คือ "ซ้ำซาก" และเหมาะแก่ "การสะกดจิต" ให้น้อมนำพฤติกรรมของเราไปสู่แนวทางที่ว่านั้น ... 😃

ผมบังเอิญอ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงที่เกิด "วิกฤติการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง" ในประเทศไทย ซึ่งน่าจะเรียกว่า เป็น "วิฤตการณ์ประชาธิปไตยต่างแนวทางกัน" ซะมากกว่า เพราะไม่มีฝ่ายไหนเลยที่ไม่อ้าง "ความเป็นประชาธิปไตย" ของฝ่ายตนว่า มี "ความเป็นประชาธิปไตย" อันสุดแสนจะวิเศษและเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศที่ยังคง "กลบเกลื่อนบาดแผลแห่งความขัดแย้ง" เอาไว้อย่างมีวัฒนธรรมต่อไป ... !!?? ... 😏 ... ผมจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เราจะประยุกต์แนวคิดของ The One Thing เข้ากับ "หลักประชาธิปไตย" ที่ "จำเป็นต้องยอมรับความหลากหลาย" ได้ยังไง ?!! ... การ "กำหนดทิศทางที่ชัดเจน" เพียง "แนวทางหนึ่งแนวทางใด" ให้กับการพัฒนาประเทศนั้น จะถือเป็น "การริดรอนเสรีภาพของความหลากหลาย" ด้วยมั้ย ?!! ... "ความต่อเนื่อง" ของวิถีปฏิบัติ และการจัดสรรงบประมาณที่แกว่งไกวไปตาม "กระแสความนิยม" นั้น แม้ว่ามันจะเป็น "การสนองความต้องการของประชาชน" ในแต่ละช่วงเวลา ... แต่ประเทศชาติควรจะพัฒนาในลักษณะที่ "ขาดความต่อเนื่องของทิศทาง" อย่างนั้นรึเปล่า ??!! ... ใครควรจะเป็นผู้ที่กำหนด "วิสัยทัศน์ของประเทศ" ?! ... แล้วใครควรจะมีสิทธิ์ใน "การแก้ไขเปลี่ยนแปลง" มัน ?! ... ด้วยกรอบของเงื่อนไขเวลาแบบไหน ?! ... แล้วใครควรจะเป็น "ผู้กำหนดกรอบของเวลา" ?!! ... "อะไรคือนิยามที่ถูกต้องของความเป็นประชาธิปไตย ?!!" ... "อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของความเป็นประชาธิปไตย ?!!" ... "เสรีภาพ" หรือ "ประโยชน์สุข" ของ "ประเทศชาติ" และ "ประชาชนโดยรวม" ?!?!?! ... อะไรที่ควรจะมีลำดับความสำคัญมากกว่ากัน ระหว่าง "ชื่อเรียกและรูปแบบ" กับ "เป้าหมายที่แท้จริง" ของระบอบการปกครอง ... ?!!?

มันอาจจะเป็นเรื่องบ้าบอที่นำเอาแนวคิดในระดับ "ปัจเจกบุคคล" ไปเปรียบเทียบกับ "ประเทศชาติ" ซึ่งมี "ความหลากหลาย" ในหลายๆ มิติของสังคม ... แต่มันก็อาจจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้างในระดับหนึ่งก็คือ "การเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง" ย่อมประกอบด้วย "การปฏิเสธสิ่งอื่นๆ อีกหลายสิ่ง" เสมอ ... ซึ่งทุกๆ "ขั้วการเมือง" ต่างก็ยอมรับในหลักการเดียวกันอยู่แล้วว่า "จะไม่มีฝ่ายใดที่จะได้รับในทุกๆ สิ่งที่เรียกร้อง" แต่กลับ "ไม่มีฝ่ายใดที่ยอมลดราวาศอกในประเด็นที่ฝ่ายตนต้องการ" เลยซักฝ่ายเดียว !!??!! ... หลายปีที่ผ่านมาของการพัฒนาประเทศไทย จึงสูญเสียเวลาไปกับสิ่งต่างๆ อันไม่ใช่สาระสำคัญของการพัฒนาประเทศเลย ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามบิดเบือนให้ "โลกของความเป็นจริง" มีความใกล้เคียงกับ "โลกในจินตนาการ" ของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลา ...

จะลองถามตัวเองซักหน่อยมั้ยล่ะครับว่า ... หากเราสามารถเลือกได้เพียง "สิ่งเดียว" ที่จะ "ต้องทำ" เพื่อ "ประโยชน์สุขที่แท้จริง" ของ "ประเทศไทศชาติ" และ "ประชาชนโดยรวม" ... "สิ่งเดียว" ที่ว่านั้นควรจะเป็นอะไร ?! ... ซึ่งเมื่อได้มาซึ่ง "สิ่งเดียว" นั้นแล้ว สิ่งอื่นๆ ก็จะสามารถดำเนินต่อไปในลักษณะของ "ปฏิกิริยาลูกโซ่" ที่ทุกคนแทบจะไม่ต้องเหนื่อยขนาดอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้อีก ?! ...

 

 

22 Ideas to Fix The World

15/1/2014


Book Title: 22 Ideas to Fix The World
Author(s): Piotr Dutkiewicz (Editor), Richard Sakwa (Editor)
Format: Paperback ; 229 pages
Publisher: NYU Press ; September 9, 2013
Language: English
ISBN-10: 1479860980
ISBN-13: 9781479860982
Product Dimensions: 9.0 x 6.1 x 1.5 inches

ผมคว้าหนังสือเล่มนี้กลับบ้านแล้วเลือกอ่าน "หมวดการเมือง" ก่อนเลย ... 😋 ... เพราะมีความรู้สึกว่า ประเทศไทยคงไม่ใช่ประเทศเดียวที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าว แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่บกพร่องพร้อมๆ กันทั้งโลก ... เป็นไปได้มั้ยล่ะว่า ทฤษฎีและหลักการที่ประชาคมโลกโดยทั่วไปเขายอมรับ แล้วนำไปปฏิบัติกันอยู่นั้น จะกลายเป็นตัวที่ก่อปัญหาซะเอง ไม่งั้นมันจะบ้าบอกันไปหมดอย่างนี้ได้ยังไง ?!! ... ซึ่งผม "ตั้งธง" ไว้ก่อนเลยว่ามันจะต้องมี bugs อย่างแน่นอน !! ... 😁

มีอยู่บทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นบันทึกการสนทนาระหว่าง Richard Sakwa กับ Ivan Krastev ที่ผมมองว่ามีประเด็นที่น่าสนใจ (ซึ่งก็แน่นอนครับว่า ผมยอมรับในประเด็นเหล่านั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก เพียงแต่ไม่สามารถลำดับเรื่องราวออกมาเท่านั้นเอง) ... โดยในบทบันทึกดังกล่าว Ivan Krastev ได้ระบุถึง "การปฏิวัติ 5 ด้าน" ที่ส่งผลให้กลายเป็นวิกฤตการณ์ในสังคมยุคปัจจุบัน ...

1. การปฏิวัติทางสังคม (Social Revolution) ตั้งแต่ทศวรรษ 1960s

ยุค 60s ถือเป็นยุคที่ "ความเป็นปัจเจกบุคคล" ได้รับการปลดปล่อยให้พ้นไปจาก "การครอบงำทางความคิด" ของกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่เคยมีอิทธิพลในสังคม และเป็นยุคเริ่มต้นที่ "สิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล" กลายเป็นกระแสที่ทรงพลังอำนาจในทางการเมือง ... แต่สิ่งที่สังคมโดยรวมต้องแลกไป เพื่อให้ได้มาซึ่ง "ความมีเสรีภาพ" ดังกล่าวก็คือ "ความล่มสลาย" ของ "ความเป็นปึกแผ่น" ในสังคม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกาะเกี่ยวกันไว้ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น ความมีส่วนร่วมในเชิงสังคมค่อยๆ หดหายไป ในขณะที่ความสนใจในผลประโยชน์เฉพาะตนค่อยๆ เบ่งบานขึ้น ความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ค่อยๆ ถูกลบหลู่ล้อเลียนจนไม่เหลือคุณค่าใดๆ ในทางจิตใจให้ยึดถือ ตลอดจนความเชื่อทางศาสนา หรือแม้แต่ "พระเจ้า" ก็ไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด "ความศรัทธาแบบรวมศูนย์" ได้อีกต่อไป

2. การปฏิวัติทางการตลาด (Market Revolution) ตั้งแต่ทศวรรษ 1980s

แม้ว่าการเกิดขึ้นของ "พลังอำนาจทางตลาด" จะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาในโลกและสังคม รวมทั้ง "ระบบทุนนิยม" ก็ได้เปิดโอกาสทางการแข่งขันให้กับทุกๆ คนอย่างเสรีมากขึ้นก็ตาม ... แต่สิ่งที่เป็นผลพวงตามมาก็คือ สังคมทั้งสังคมถูกผลักให้เข้าไปสู่วังวนของ "ทางเลือก" ที่แทบจะไร้ขีดจำกัด และทำให้ความสนใจทั้งหมดของสมาชิกส่วนใหญ่ ถูกดึงเข้าสู่วังวนแห่ง "ความหมกมุ่น" อยู่กับ "ความต้องการของตัวเอง" ภายในกรอบที่ "กฎหมาย" อนุญาต และปล่อยให้หน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบผลกระทบต่อสังคมโดยรวมเป็นธุระของคนอื่นๆ เช่น นักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆ ซึ่งส่วนมากแล้ว ก็จะมี mind set ที่ถูกครอบงำด้วย "นวัตกรรมทางการตลาด" ด้วยกันทั้งสิ้น

3. ความล่มสลายของการต่อสู้ทางความคิดในปี 1989

การที่ "ระบบสังคมนิยม" ต้องปิดฉากตัวเองลงไปอย่างราบคาบให้แก่ "ระบบตลาดแบบทุนนิยม" ในปี 1989 นั้น ได้ทำให้สังคมโลกเข้าสู่ภาวะที่ "ปราศจากทางเลือกโดยระบบ" อีกต่อไป ซึ่งกลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ "การแข่งขันในระบบตลาด" ทวีความเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น

4. การปฏิวัติทางการสื่อสาร (Communication Revolution)

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ได้ปฏิวัติโอกาส และวิธีการในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลของมนุษยชาติ อย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมมนุษย์ ถูกแยกย่อยเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเข้าหากันอีกเลย ... ความสะดวกในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลต่างๆ และการติดต่อสื่อสารกับบุคคลที่มีแนวคิด และทัศนคติที่คล้ายคลึงกันของแต่ละปัจเจกบุคคลนั้น ได้เข้าทดแทน "ความต้องการรวมกลุ่ม" กับสังคมใกล้ตัวของแต่ละคนไปโดยปริยาย อันเป็นเหตุให้ "ความเป็นปึกแผ่นของสังคม" ที่เริ่มเข้าสู่ภาวะสลายตัวมาตั้งแต่ยุค 1960s ถูกขับเน้นให้มีความเด่นชัด และรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

5. การปฏิวัติความเชื่อเกี่ยวกับศักยภาพในการคิดของมนุษย์

การค้นพบใหม่ๆ ในด้าน neurosciences หรือ "ประสาทวิทยา" ได้บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า "มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่มีตรรกะ" โดยมีการพิสูจน์เพื่อยืนยันแล้วว่า การตัดสินใจแทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันของมนุษย์นั้น เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของ "อารมณ์" และ "ความเชื่อ" มากกว่า "เหตุผล" และ "ข้อเท็จจริง" ... ซึ่งปรากฏว่า กลุ่มบุคคลที่นำผลของการค้นพบนี้ไปแสวงประโยชน์มากที่สุดก็คือ "นักการเมือง" และทำให้การรณรงค์เพื่อ "ชิงอำนาจทางการเมือง" ในหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นการลงทุนด้วย "กลยุทธด้านจิตวิทยา" แทนที่จะเป็นการให้ "ความรู้" หรือการนำเสนอสิ่งที่เป็น "ข้อเท็จจริง" เพื่อประกอบการตัดสินใจของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ... อันเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ "สถาบันทางการเมือง" ทั้งหลายทั่วโลก ค่อยๆ "เสื่อมความน่าเชื่อถือ" ลงไปอย่างช่วยไม่ได้ และนำไปสู่ "วิกฤตศรัทธา" ที่ประชาชนมีต่อ "นักการเมือง" และ "สถาบันทางการเมือง" ทั้งหมดพร้อมๆ กัน

จริงเท็จแค่ไหนไม่รู้นะครับ เพราะเพิ่งจะอ่านถึงแถวๆ นี้เท่านั้นเอง ... 😈 ... ตอนนี้เพียงแต่รู้สึกว่า มันมีประเด็นที่น่าสนใจให้คิดต่ออีกหลายเรื่อง ซึ่งปนๆ อยู่ในหัวข้อของ Ivan Krastev ก็เลยคัดมาแบบย่อเพื่อแปะไว้ก่อน ... เท่านั้นแหละ !!

 

 

The Devil's Advocate

100 Business Rules You Must Break | 5/1/2014

Book Title: The Devil's Advocate
Author(s): Caspian Woods
Format: Paperback ; 229 pages
Publisher: Pearson Education Limited ; June 6, 2013
Language: English
ISBN-10: 0273779494
ISBN-13: 9780273779490
Product Dimensions: 7.7 x 5.1 x 0.7 inches

 

ผมเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพราะชอบใจในภาพยนตร์ชื่อเดียวกันที่เคยฉายไปเมื่อหลายปีก่อน แต่นอกเหนือจากความเหมือนกันของ "ชื่อหนังสือ" กับ "ชื่อภาพยนตร์" แล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกันอีกเลย !!? ... 😋 ... ซึ่งจุดที่พอจะดึงดูดความสนใจได้บ้าง ก็คงจะอยู่ตรง "ชื่อรอง" ของมันเท่านั้น ... 100 Business Rules You Must Break ...

ความจริงแล้วผมเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบ "แหกกฎ" นักหรอกครับ มิหนำซ้ำก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อ "คาถา" ของพวก "Thinking Outside The Box" ซักเท่าไหร่ด้วย ... ผมเพียงแต่ชอบ "เล่นตลกกับกฎเกณฑ์ที่มีอยู่" ... ก็เท่านั้นเอง ... 😋 ... เพราะผม "เชื่ออย่างฝังหัว" เลยว่า "ความมีกฎเกณฑ์" ต่างหาก ที่เป็นบ่อเกิดของ "ความคิดสร้างสรรค์" ทั้งหลายทั้งปวงในโลกมนุษย์ !!?

การได้อ่านหนังสือ The Devil's Advocate ของ Caspian Woods นั้น ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงหนังสือเรื่อง What Ever You Think, Think The Opposite. ของ Paul Arden ที่ผมเคยซื้อไว้ก่อนหน้านี้นานพอสมควรแล้ว เนื่องจากประเด็นที่ Caspian Woods นำเสนอไว้ในหนังสือของเขา มันก็ไม่เชิงว่าจะ Devil ซักเท่าไหร่ และมีหลายประเด็นที่ไม่ถึงขั้นว่าจะเป็น "มุมตรงข้าม" อย่างชัดเจนซะด้วยซ้ำ แต่มันเป็นการนำเสนอ "ทัศนคติ" และ "มุมมอง" ที่แตกต่างไปจาก "ความเชื่อ" ซึ่งบรรดา "เกจิ" ของหนังสือ How To ทั้งหลาย นิยมนำเสนอไว้ราวกับเป็น "กฎแห่งความสำเร็จ" ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ปาน ซึ่งก็ต้องถือว่า Caspian Woods นำเสนอไว้อย่างค่อนข้างกระชับ โดยไม่มีรายละเอียดที่เยิ่นเย้อให้น่ารำคาญ

"การเล่นตลกกับความเชื่อของตัวเอง" นั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรจะหมั่นปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าบางครั้งมันก็อาจจะวนเวียนอยู่กับ "กรอบคิด" เดิมๆ ของเราเองก็ตาม แต่การปรับเปลี่ยน "มุมมอง" ของเราต่อ "ความเชื่อ" หนึ่งๆ ก็อาจจะช่วยให้เราได้พิจารณาถึงแง่มุมอื่นๆ ที่ถูกบดบังไว้ด้วย "ทัศนคติอันคุ้นชิน" ของตัวเราเอง ... ซึ่ง "การไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยทัศนคติอันคุ้นชิน" นั้นต่างหาก ที่ควรจะนับว่าเป็น "การคิดนอกกรอบ" อย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ "ทำอะไรตามใจอย่างมักง่าย" โดยไม่สนใจถึงผลกระทบอีกหลายๆ อย่างที่จะติดตามมา แล้วก็อุปโลกขึ้นเป็น "คาถา" ของ "คนไร้ราก" ไปวันๆ อย่างที่หลายคนนิยมปฏิบัติกัน

 

 

จับชีพจรประเทศไทย

2/1/2014

ชื่อหนังสือ: จับชีพจรประเทศไทย
ผู้ประพันธ์:
การเข้าเล่ม: ปกอ่อน ; 271 หน้า
ผู้จัดพิมพ์: สถาบันอนาคตไทยศึกษา ร่วมกับสำนักข่าวไทยพับลิก้า ; พ.ศ. 2556
ภาษา: ไทย
รหัสประจำหนังสือ: 9781619190400
ขนาดเล่ม: 16.5 x 24 x 1.5 ซม.

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของการเรียกร้อง และการนำเสนอแนวคิดทางการเมืองของหลายๆ ฝ่ายในประเทศไทย ตลอดช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมานั้น ผมแทบจะไม่เห็นวี่แววของข้อสรุปใดๆ ในทางการเมือง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างแท้จริงเลย นอกจากการสร้าง "วาทกรรม" ขึ้นมาเสียดสีด่าทอกันไปมาระหว่าง "นักการเมือง" และ "นักท่องตำรา" อีกหลายค่ายหลายคน ที่อุทิศชีวิตให้กับ "ขั้วความคิดอันสุดโต่ง" ไปคนละทิศคนละทางอย่างไม่มีแก่นสารสาระใดๆ ให้น่าติดตาม ... มีการแบ่งข้าง แยกกลุ่ม จับขั้วกันด้วยชื่อเรียกสารพัด ที่ต่างฝ่ายต่างเสกสร้างกันขึ้นมา categorize ผู้คนในสังคมจนเลอะเทอะไปหมด ... แล้วก็ทะเลาะกัน ... !!?? ... เพียงเพื่อที่จะประกาศว่า ... "ฉันถูก แกผิด" ... เท่านั้นมั้ง ... !!?? ... โดยต่างฝ่ายต่างก็พยายาม "พิสูจน์ความถูก-ผิด" ด้วย "ปริมาณของผู้สนับสนุน" เพียงมิติเดียว ... เพราะ "เชื่ออย่างฝังหัว" ว่า ... "รากฐานของระบอบประชาธิปไตย" ก็คือ "การนับ" เท่านั้น ... !!?? ... 😄

มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องปรกติของ "นักการเมือง" ที่จะแสดง "ความไร้วิสัยทัศน์" อย่างนั้นออกมาต่อสาธารณชน เพราะการจะได้รับเสียงสนับสนุนจากมวลชนจำนวนมากๆ นั้น จำเป็นต้อง over-simplify กระบวนการทางความคิดให้มีรายละเอียดที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสร้าง "ชุดความคิด" ที่เป็น mass production ขึ้นมาสำหรับ "กรอก" เข้าไปใน "การรับรู้" ของผู้คน ... แต่มันค่อนข้างจะผิดวิสัยของ "นัดคิด" และ "นักวิชาการ" ที่ควรจะมี "ความคิดเชิงซ้อน" ซึ่งไม่ได้ over-simplify จนเหลือเพียงเครื่องหมาย "มากกว่า" กับ "น้อยกว่า" เหมือนกับที่กำลังพยายามจะ "อวดภูมิ" ให้สมกับอักษรย่อใดๆ ที่อุตส่าห์นำมาต่อหัวเติมหางให้กับชื่อของตัวเองอย่างไร้คุณค่าความหมายใดๆ อยู่ตลอดเวลา ... ราวกับว่า ... ทุกๆ ฝ่ายที่กำลังทะเลาะกันอยู่ในสังคมไทยนั้น ล้วนเป็น "นักเลือกตั้งทางการเมือง" ไปหมดแล้ว ... !!?? ... เพราะต่างฝ่ายต่างก็ใช้วิธีการ "สร้างชุดความคิดสำเร็จรูป" ขึ้นมา แล้ว "ปั่น" ให้เกิด "ความยอมรับในสังคม" ด้วยกระบวนการเช่นเดียวกับ "การโฆษณาขายสินค้า" ทั่วๆ ไป ซึ่งไม่เน้น "การให้ความรู้" หรือ "การกระตุ้นให้ใช้วิจารณญาณ" ใดๆ ของ "ผู้บริโภค" อีกเลย !!?!

เราอาจจะต้องยอมรับไว้พิจารณาว่า ปัญหาทั้งหลายที่กำลังเผยตัวออกมาในสังคมไทยทุกวันนี้ คือ "ส่วนปลาย" ของ "รากเหง้า" ที่ถูกหมักหมมมาอย่างยาวนาน และไม่เคยได้รับความเหลียวแลอย่างเป็นระบบระเบียบมาก่อนเลย ความสลับซับซ้อนของปัญหาที่ยากแก่การระบุถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงนั้น เป็นเพราะเรื่องราวหลายๆ อย่างถูกปล่อยปละละเลย คล้ายกับไม้เลื้อยที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา จึงเป็นเหตุที่กิ่งก้านอันระโยงระยางของพวกมัน ค่อยๆ เกี่ยวเกาะพันกัน จนยากแก่การตัดแต่งต่อเติมใดๆ ให้เรียบร้อยสวยงามอย่างที่ต่างฝ่ายต่างอยากจะให้เป็น ... "ทัศนคติ" และ "มุมมอง" อันหลากหลายของบุคคลในแวดวงต่างๆ 17 คน ที่ได้รับการรวบรวมไว้ในหนังสือ "จับชีพจรประเทศไทย" ของ "สถาบันอนาคตไทยศึกษา" และ "สำนักข่าวไทยพับลิก้า" เล่มนี้ จึงมีประเด็นที่ "น่าคิด" และ "น่าสนใจ" อยู่ไม่น้อย ... และยังอาจจะช่วย "เตือนสติ" แก่ทุกคนด้วยว่า จะไม่มีปัจเจกบุคคลใด หรือสถาบันไหนเพียงหนึ่งเดียว ที่จะสามารถเป็น Super Hero ในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกต่อไป ... เว้นแต่ทุกฝ่าย ทุกคน จะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วย "ความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมีสติ" เท่านั้น ... และยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยเพียง "หลักคิด" หรือ "กฎกติกา" แบบใดแบบหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง ... เพราะสภาพที่แท้จริงของประเทศไทยในเวลานี้ แทบจะไม่ต่างไปจาก "คนป่วย" ที่ผ่านการรักษาตัวอย่างสะเปะสะปะ ด้วย "ยาสามัญประจำวัน" ที่ไม่เคยซ้ำขนานกันเลยซักสูตรเดียวมาเป็นเวลานานมากแล้ว ... ซึ่งมันอาจจะเลอะเทอะจนถึงขั้นที่ต้องรักษาด้วย "การผ่าตัดใหญ่" เท่านั้นก็ไม่แน่อีกเหมือนกัน ... !!?!!

มีหลายเสียงที่พยายามเรียกร้องให้ "สัมคมต้องเลือกข้าง" ... มีหลายเสียงที่คาดคั้นให้ "ทุกฝ่ายไม่อาจเป็นกลาง" ... มีหลายเสียงที่พยายามยัดเยียด "สูตรสำเร็จ" ให้ทุกคน "ต้องพิจารณารับ" ... มีหลายเสียงที่พยายามยัดเยียด "สูตรสำเร็จ" ให้ทุกคน "ต้องพิจารณาปฏิเสธ" ... ฯลฯ ... ประเทศไทยควรจะ "ไม่เลือกข้าง" อย่าง "ไม่เป็นกลาง" ไปพร้อมๆ กันได้มั้ย ... ??! ... หรือประเทศไทยควรจะ "เลือกข้าง" อย่าง "เป็นกลาง" ในเวลาเดียวกัน ... ?!?! ... ทำไมต้องเลือก ?! ... ทำไมต้องกลาง ?! ... ทำไมไม่เลือกตรงที่ไม่กลาง ?! ... ทำไมตรงกลางถึงต้องเลือก ?! ... ทำไมถึงไม่เลือกตรงที่ไม่กลาง ?! ... ฯลฯ ... จะทะเลาะกันจนประเทศไทยล่มสลาย แล้วค่อยมาเถียงกันต่อว่าใครเป็นต้นเหตุอย่างนั้นเหรอ ??!! ... เก้าะ ... โอเคนะ ... ในเมื่อ "เสียงส่วนใหญ่" กำลังทำอย่างนั้นอยู่แล้วนี่ ... อย่างนี้มั้งที่เขาเรียก "ประชาธิปไตยฉิบหาย" น่ะ ... !!??

 

 

Identically Different : แตกต่างกันยังก๊ะแกะ !!?

Why You Can Change Your Genes | 5/10/2013

Book Title: Identically Different
Author(s): Tim Spector
Format: Paperback ; 280 pages
Publisher: Phoenix ; June 6, 2013
Language: English
ISBN-10: 1780220901
ISBN-13: 9781780220901
Product Dimensions: 7.7 x 5.1 x 1.2 inches

ผมซื้อหนังสือเล่มนี้มาด้วยเหตุผลเดียวเลยครับ คือ ... อยากอ่านไง !! ... 😅 ... เพราะจริงๆ แล้วก็มีบางเล่มที่ผมซื้อมาเพราะอยากเก็บเฉยๆ อยู่เหมือนกัน ... 😋 ... แต่ถ้าจะว่ากันตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การตั้งชื่อหนังสือว่า Identically Different ก็เป็นการเล่นคำที่มี "ความขัดแย้งในตัวเอง" ได้อย่างน่าสนใจพอสมควร ประกอบกับชื่อรองที่เขียนไว้ว่า Why You Can Change Your Genes ก็สื่อความหมายที่ค่อนข้างจะเจาะจงว่า Tim Spector กำลังจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ "ยีน" ของมนุษย์อย่างพวกเราๆ นี่แหละ ... ประมาณว่า ... ทำไมเราจึงสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ?!

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในเรื่องของ "การแบ่งชนชั้น-วรรณะโดยชาติกำเนิด" จึงไม่เคยคิดว่า มนุษย์ทั้งหลายล้วนถูกกำหนดให้เป็น "บุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งโดยลักษณะทางพันธุกรรม" ของพวกเขา แม้ว่าลักษณะทางกายภาพส่วนใหญ่ของมนุษย์ จะมีการพัฒนาไปตามรูปแบบที่ถูกกำหนดไว้แล้วอย่างตายตัวในระดับใดก็ตาม ... เพราะผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็น "เวไนยสัตว์" คือเป็น "สัตว์ที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาได้เสมอ ในระดับที่ไม่ขัดแย้ง หรือไม่ฝืนต่อธรรมชาติอันจริงแท้แห่งกายภาพของตน" ตามคติความเชื่อแบบพระพุทธศาสนา ... โดยผมต้องการจะเน้นย้ำว่า ... "ในระดับที่ไม่ขัดแย้ง หรือไม่ฝืนต่อธรรมชาติอันจริงแท้แห่งกายภาพของตน" ด้วย ... เพราะผมยังคงมีความรู้สึกว่า มันน่าจะมี "สิ่งผิดปรกติ" บางอย่างใน "กระบวนทัศน์" ของ "ความผิดเพศ" ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในสังคมยุคปัจจุบัน ... เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องของ "อิทธิปาฏิหาริย์" อันเนื่องมาจาก "การฝึกฝน" ที่จะทำให้มนุษย์สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือเคลื่อนย้ายมวลสารใดๆ จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง โดยไม่อาศัยอุปกรณ์เสริมใดๆ ดังที่ปรากฏในบันทึกอภินิหารทั้งหลายทั้งปวง ... เพราะมันล้วนเป็นสิ่งขัดแย้ง และฝืนต่อข้อเท็จจริงทางกายภาพอย่างไม่น่าเชื่อถือนั่นเอง !!??

ความจริงแล้ว สังคมในยุคปัจจุบันมี "ข้อขัดแย้ง" หลายอย่างใน "กระบวนทัศน์" แบบ "เสรีนิยมสุดโต่ง" เกี่ยวกับ "ชาติกำเนิด" ... เพราะในด้านหนึ่ง เราไม่ยอมรับในเรื่องของ "การแบ่งชนชั้น-วรรณะโดยชาติกำเนิด" ด้วย "เหตุผล" ที่ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมี "เสรีภาพ" ใน "การเลือก" วิถีชีวิตของตนเอง ตามความเหมาะสมแห่ง "ภูมิปัญญา" และ "ความสามารถ" ของแต่ละคน ที่ล้วนแต่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ในภายหลัง ... แต่เรากลับยอมรับ "กระบวนทัศน์" ที่เชื่อว่า มนุษย์มี "อิสระ" ใน "การเลือกเพศของตน" อันเนื่องมาจาก "ลักษณะทางพันธุกรรม" ที่ถูก "กำหนดไว้แล้วอย่างตายตัว" ไม่ว่าลักษณะทางกายภาพจะบ่งชี้ไปในทางใดทางหนึ่งก็ตาม ... ??!! ... ทำไม ??!! ... มันต่างอะไรกับคำว่า "ชาติกำเนิด" หรือ "ชะตากรรม" งั้นเหรอ ... ??!! ... หรือ "เสรีภาพ" จะหมายถึง "การยอมรับความจริงด้านหนึ่ง" แล้ว "ปฏิเสธความจริงอีกด้านหนึ่ง" ของ "ความจริงเดียวกัน" ... ??!! ... มนุษย์มี "เสรีภาพ" ในการ "เปลี่ยนแปลงความจริง" ไปตาม "แรงกระตุ้นในกมลสันดานของตน" อย่าง "ไร้ขอบเขตจำกัด" ใดๆ เลยรึเปล่า ... ??!! ... งั้นทำไมถึงไม่ปลูกขนขี้เต่าตัวเองให้ยาวๆ เพื่อจะบินได้อย่างนก จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานฟอสซิลไปกับการใช้ยานพาหนะทางอากาศซะเลยล่ะ ??!!

ทั้งหมดนั่นไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือหรอกครับ !! ... 😁 ... ผมเพียงแต่แว้บขึ้นมาเฉยๆ จากการเห็นแค่ปกของมันเท่านั้นเอง ... 😜 ... จริงๆ แล้ว Tim Spector ต้องการจะเล่าแค่ว่า "ยีน" ของมนุษย์นั้น มีผลต่อ "ความรู้สึกนึกคิด" และ "บุคลิกภาพ" ของแต่ละคนเพียงแค่ "บางส่วน" เท่านั้น ที่เหลือ เป็นเรื่องของ "การอบรมเลี้ยงดู" และ "สภาวะแวดล้อม" ซึ่งจะเป็น "ปัจจัยในการหล่อหลอม" บุคคลแต่ละประเภทขึ้นมา ... ประมาณว่า nature : nurture = 50:50 หรืออาจจะถึงขั้น nature : nurture = 40:60 ด้วยซ้ำไป ... ดังนั้น ... ความเชื่อที่ว่า nature หรือ nurture คือ "จอมเผด็จการ" ที่สามารถบ่งชี้ "ความเป็นบุคคลแต่ละประเภท" อย่าง "เบ็ดเสร็จเด็ดขาด" นั้น คือ "กระบวนทัศน์" ที่ล้วน "ไม่สมประกอบ" ด้วยกันทั้งสิ้น !!?? ... ซึ่งผมก็กะๆ เอาเองว่า มันน่าจะประมาณอย่างนั้นโดยไม่ต้องทำการค้นคว้าวิจัยใดๆ ... แล้วยังทะลึ่งอยากจะอ่านหนังสือเล่มนี้ไปทำไม (วะ) ??!! ... 😄 ... เก้าะ ... เพราะ "ยีน" มันมีผลต่อ "ชะตากรรม" ของมนุษย์ตั้ง "ประมาณกึ่งหนึ่ง" เชียวนะ (โว้ย) !!?? ... การทำความรู้จักกับมันซักหน่อยก็น่าจะมีอะไรให้รู้เรื่องมากกว่าการอ่าน "หนังสือสรุปข้อมูลทางสถิติ" ที่เรียกว่า "ตำราหมอดู" มั้ง ??!! ... รึเปล่าไม่รู้ ?! ... 😋

คืองี้ครับ ... พอมนุษย์เรามัน "อยาก" จะทำอะไรขึ้นมา มันก็จะพยายาม "สรรหาเหตุผล" มา "สนับสนุนความอยาก" ของมันเองไปเรื่อยเปื่อยอย่างนี้แหละครับ ... ซึ่งมันอาจจะเป็น "กมลสันดานโดยยีน" ก็ได้นะ !!?? ... 😁 ... เพราะฉะนั้น ... อย่าอวดตัวว่าฉลาดแสนรู้ ... อย่าอ้างตัวว่าแก่กล้าอุดมการ ... อย่าแสดงตัวว่าเจนจัดโชกโชนในชีวิต ... ฯลฯ ... คนทุกคนล้วนเป็น "นักคิด" ด้วยกันทั้งนั้น ... เป็น "นักคิด" ใน "การสรรหาเหตุผล" มา "สนับสนุนแรงกระตุ้นในกมลสันดานของตน" ทั้งนั้นแหละ ... รู้ป้ะ ??!! ... 😈 ...

 

 

Empress Dowager Cixi

The Concubine Who Launched Modern China | 26/9/2013


Book Title: Empress Dowager Cixi
Author(s): Jung Chang
Format: Hardcover ; 464 pages
Publisher: Knopf ; October 29, 2013
Language: English
ISBN-10: 0307271609
ISBN-13: 9780307271600
Product Dimensions:

นี่คือหนังสือเล่มใหม่ของ Jung Chang ผู้เขียน Wild Swan และ Mao : The Unknown Story ที่ยังคงรักษามาตรฐานของการเป็น "ผู้ต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของประเทศจีน" อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในคราวนี้ เธอถึงกับรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ในยุคของ "พระนางซูสีไทเฮา" ขึ้นมาปัดฝุ่นซะใหม่ ด้วยการบอกเล่าถึงคุณงามความดี และคุณูปการที่พระนางเคยอุทิศไว้ให้กับการพัฒนาแผ่นดินจีนในรัชสมัยของพระองค์ ชนิดที่ไม่เคยมีใครเคยเอ่ยถึงมาก่อน เพราะเรื่องราวของ "พระนางซูสีไทเฮา" ล้วนถูกทาทับไว้ด้วยภาพลักษณ์ที่มีแต่ความชั่วร้าย และความเหลวแหลกต่างๆ นาๆ ... ตามทฤษฎีโบร่ำโบราณที่ว่า "ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร" นั่นเอง !!? ... ซึ่งการกล่าวถึง "ด้านลบ" ของ "ประธานเหมา" ไว้ในหนังสือเล่มก่อนหน้า แล้วต่อด้วยการสรรเสริญ "ด้านบวก" ของ "พระนางซูสีไทเฮา" ไว้ในเล่มนี้โดย Jung Chang ก็คงจะมีจุดประสงค์ที่แฝงนัยทางการเมืองของยุคสมัยใกล้ปัจจุบันไว้ไม่มากก็น้อย ... และเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้ก็คงจะได้รับความนิยมในซีกโลกตะวันตก และน่าจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์ของคนซีกโลกตะวันออกเหมือนผลงานที่แล้วๆ มาของเธอ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะที่เป็น "เชิงบวก" แบบนี้ น่าจะมีประโยชน์มากกว่า "การขุดคุ้ยเรื่องไม่ดี" ของบุคคลในประวัติศาสตร์มาเล่าขานกัน โดยเฉพาะการที่เจ้าตัวเขาไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาชี้แจงหรือแก้ต่างใดๆ ได้เลย ... นั่นอาจจะเป็นเพราะผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีแง่มุมที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปในช่วงชีวิตของแต่ละคนเสมอ ขึ้นอยู่กับ "ทัศนคติ" และ "วิจารณญาณ" ของผู้ที่ทำการสำรวจตรวจค้นชีวประวัติของบุคคลเหล่านั้นเป็นเกณฑ์ ... แม้ว่า "การขุดคุ้ยเรื่องไม่ดี" อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของ "ความเป็นคู่เปรียบเทียบ" เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้ที่ต้องการจะศึกษาโดยทั่วๆ ไป แต่โดยมากแล้ว เราก็มักจะเห็น "การขุดคุ้ยเรื่องไม่ดีของฝ่ายตรงข้าม" เพียงเพื่อจะ "สร้างความชอบธรรมของฝ่ายตน" ให้เป็นที่ยอมรับได้เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับการเรียนรู้ใดๆ อย่างสร้างสรรค์ !!

ครั้งหนึ่ง จอมจักรพรรดิ "ฉินซีฮ่องเต้" หรือจักรพรรดินี "บูเช็กเทียน" ต่างก็เคยถูก "ป้ายสี" ให้เป็น จอมโฉดชั่วแห่งประวัติศาสตร์" มาก่อน แต่พระราชประวัติของท่านทั้งสอง ก็ได้รับ "การรื้อฟื้น" ด้วยทัศนคติแบบอื่นที่แตกต่างไปจากเดิม แม้ว่าเรื่องราวที่ได้รับ "การตีความใหม่" เหล่านั้น จะไม่สามารถลบล้างภาพลักษณ์อันโหดร้ายในยุคสมัยของทั้งสองพระองค์ออกไปได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์หนึ่งๆ ในบันทึกทางประวัติศาสตร์นั้น ไม่ได้มีมุมมองที่แน่นอนตายตัวอย่างที่ใครหลายคนมักจะยึดติดกัน ... ซึ่งเรื่องราวของ "พระนางซูสีไทเฮา" ก็ย่อมจะมีมุมมองที่เป็นไปได้ ทั้งใน "เชิงบวก" และ "เชิงลบ" เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน

ในแง่ของ "ความเป็นชนชาติ" ของอาณาจักรจีนอันกว้างใหญ่ ซึ่งมีชนเผ่าต่างๆ ที่รวมตัวกันเป็นประชากรจำนวนมหาศาล ตลอดช่วงระยะเวลาของประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น "อาจจะ" มีความไม่เหมาะสมบางประการสำหรับการปกครองด้วย "ระบอบประชาธิปไตย" แบบชาติตะวันตก ที่หลายต่อหลายคน "ถูกเสี้ยมสอนให้ยอมรับ" ว่า เป็น "ระบอบการปกครองที่เลวร้ายน้อยที่สุด" ... แต่สังคมจีนซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวของระบอบการปกครองต่างๆ มาตั้งแต่ยุคของการปกครองโดยจ้าวแคว้น มาสู่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราช จนได้รับการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นประชาธิปไตยในช่วงระยะเวลาสั้นๆ (เพียง 37 ปี) ก่อนที่จะหวนคืนสู่ความเป็น "สังคมนิยมกึ่งเผด็จการ" แบบ "ลัทธิเหมา" โดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถหล่อเลี้ยงประชากรกว่า 1,000 ล้านคนของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหนือกว่าชาติตะวัตกอื่นๆ ที่คอย "ยัดเยียด" แนวคิดของตนผ่านตำรับตำราและอาวุธ เพื่อให้ชาวโลก "ต้องยึดถือ" เป็น "ข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด" โดยไม่สนใจใยดีต่อสภาวะแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่างกัน ... ทั้งๆ ที่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศประชาธิปไตยต้นแบบทั้งหลายของซีกโลกตะวันตกนั้น ก็กำลังต้องประสบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ยากจะเยียวยาแก้ไขในปัจจุบัน ... !!??

ประวัติศาสตร์ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของ "พระนางซูสีไทเฮา" อาจจะเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งที่ชนชั้นปกครองของประเทศจีนต้องเรียนรู้ว่า ต่อให้เป็นบุคคลที่เก่งกล้าสามารถเพียงใด และมีความทุ่มเทที่อุทิศให้กับประเทศชาติมากมายขนาดไหนก็ตาม ย่อมยากที่จะนำพาประเทศชาติอันประกอบด้วยประชากรจำนวนมากมายของพวกเขา ให้รุดหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ... การเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองมาสู่ "ความเป็นสาธารณรัฐ" ที่ปกครองด้วย "ระบอบสังคมนิยมกึ่งเผด็จการโดยคณะบุคคลที่ได้รับการคัดสรร" อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ "น่าจะเหมาะสมกว่าสำหรับประเทศจีน" ซึ่ง "ท่านประธานเหมาเจ๋อตง" ได้ตัดสินใจลงไปเมื่อปี ค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) และได้รับการสานต่ออย่างมีพัฒนาการต่อมาอีกกว่า 60 ปีจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2013 / พ.ศ.2556) ... การที่ใครต่อใครหลายคนจะพากันตัดสินว่า "ดี" หรือ "ไม่ดี" โดยอาศัยเพียง "ทฤษฎี" หรือ "ทัศนคติ" ของคนเพียงไม่กี่คน (ซึ่งเป็น "บุคคลภายนอกของประเทศจีน") นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถรับฟังได้ แต่ไม่อาจยึดถืออย่างเป็นจริงเป็นจัง จนกว่าจะได้พิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ทุกๆ ประเทศล้วนมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันแล้วเท่านั้น !!

 

 

Money : The Unauthorized Biography

14/8/2013


Book Title: Money : The Unauthorized Biography
Author(s): Felix Martin
Format: Paperback ; 336 pages
Publisher: The Bodley Head Ltd ; June 6, 2013
Language: English
ISBN-10: 1847922341
ISBN-13: 9781847922342
Product Dimensions: 9.1 x 6 x 1 inches

หลายคนคงได้รับรู้ถึงความเลวร้ายของ "ธุรกิจการเมือง" มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย และคงได้รับรู้ถึงความสกปรกโสมมของการบริหารบ้านเมือง ที่มีการใช้ "เงิน" เพื่อ "บิดเบือน" เงื่อนไขต่างๆ อย่างที่ "คิดว่าน่าจะเป็น" จนบิดเบี้ยวในอารมณ์ของประชาชนมากเผ่าหลายพันธุ์ไปทั่ว ... จนบางครั้งก็อาจจะเกิดความรู้สึกที่ว่า "เมื่อใดก็ตามที่เงินเข้าไปมีบทบาทต่อเงื่อนไขทางการเมือง เมื่อนั้นการเมืองย่อมจะตกต่ำและเลวร้ายลงไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง" !!? ... แต่ถ้าพิจารณาจากมุมมองด้านประวัติความเป็นมาของ "เงิน" ตามทัศนวิจารณ์ของนักเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่าง Felix Martin แล้ว เรากลับพบว่า "เงิน" คือ "นวัตกรรมทางสังคม" ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ "ความเป็นระบอบทางการเมือง" ในการ "ผดุงอำนาจ" ของ "อภิสิทธิ์ชน" ผู้กำหนด "มูลค่าของเงิน" ที่ใช้หมุนเวียนอยู่ในสังคมหนึ่งๆ มาตั้งแต่ครั้งที่มันถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน ??!! ... หรือถ้าจะเปลี่ยนคำพูดให้สั้นกว่านั้น เราก็อาจจะกล่าวได้ว่า "เงินคือเครื่องมือทางการเมืองมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของระบอบการปกครอง" ก็คงจะไม่ผิดไปจากความหมายที่ Felix Martin ต้องการจะสื่อไว้ในหนังสือเล่มนี้ของเขามากนัก ??!! ... และคงจะไม่น่าแปลกใจที่ "นายธนาคาร" ในทุกยุคทุกสมัย ล้วนต้องมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ "ขั้วอำนาจทางการเมือง" ไม่ขั้วใดก็ขั้วหนึ่งเสมอ เพราะ "นายธนาคาร" หรือบรรดา "นักมายากลเงินตรา" ทั้งหลายเหล่านั้น ต่างก็ต้องอาศัยฐานอำนาจทางการเมือง ในการรับรองสถานะของ "เงินตรา" ที่พวกเขา "เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเอง" ในรูปของ "เครดิต" ต่างๆ ที่ใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของทั้งสังคม และของชนชาติหนึ่งๆ มาตลอดระยะในประวัติศาสตร์นั่นเอง ...??!!

สังคมมนุษย์ถูกทำให้จมจ่อมอยู่กับ "เงินตรา" จนกระทั่ง "กระบวนทัศน์เกี่ยวกับเงิน" ของผู้คนส่วนใหญ่ อยู่ในอาการเช่นเดียวกับปลา ที่ไม่อาจอธิบายถึง "ความเป็นน้ำ" ของสิ่งซึ่ง "รายรอบชีวิตปรกติ" ของพวกมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และคงจะจริงยิ่งกว่า หากเราจะเปรียบเปรยว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ในสังคมโลกนั้น คือปลาที่ยังคงว่ายวนอยู่ในอ่าง ซึ่งถูกควบคุมทั้ง "คุณภาพ" และ "ปริมาณ" ของน้ำโดย "อภิสิทธิ์ชน" กลุ่มเล็กๆ ที่เป็นผู้กำหนด "มูลค่า" และ "ปริมาณ" ของเงินตรา สำหรับหมุนเวียนอยู่ในกระแสเศรษฐกิจของทั้งสังคม เพื่อเป็นปัจจัยในการ "ปลุกปั่น" ผู้คนให้ต้องแก่งแย่งแข่งดีบนพื้นฐานของ "ความเชื่อ" เกี่ยวกับ "ความมั่งคั่ง" ที่ "อภิสิทธิ์ชน" เหล่านั้นเป็นผู้ "สมมุติขึ้นมาเอง" ทั้งหมด !!?? ... "เงิน" จึงเป็น "นวัตกรรมทางสังคม" ที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อใช้ "บงการพฤติกรรมทางสังคม" ของ "มนุษย์ผู้ถูกปกครอง" เสมอมา ... และทำให้ทรัพยากรส่วนใหญ่อันเป็นผลผลิตจาก "สังคมที่ถูกปั่นหัว" นี้ ถูกถ่ายเทกลับไปหา "เจ้าของเงินตราตัวจริง" ซึ่งจะแปรสภาพเป็น "เจ้าของทรัพยากร" โดย "มนุษย์ผู้ถูกปกครอง" ทั้งหลาย จะได้รับผลตอบแทนเป็น "สิ่งสมมุติ" ที่พวกเขา "อุปโลก" ขึ้นมาให้ !!?!

ความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นระหว่าง "เงินตรา", "อำนาจ" และ "ความมั่งคั่ง" นี่เอง ที่เป็นปัจจัยดึงดูดให้ผู้คนจำนวนหนึ่ง กระเหี้ยนหระหือรือต่อการ "ยึดกุมกลไกแห่งอำนาจ" โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ "การสร้างความมั่งคั่ง" ให้กับตนเองและพวกพ้อง ... ซึ่งรูปแบบของ "การแย่งชิงกลไกแห่งอำนาจ" ระดับท้องถิ่น ก็ได้วิวัฒนาการจาก "การก่อสงครามระหว่างชนเผ่า" มาสู่ "การเลือกตั้ง" อันเป็นรูปแบบของ การยึดครองอำนาจ" ที่ดูมีอารยธรรมมากขึ้น ... ในขณะที่ "การแย่งชิงอำนาจ" ในระดับภูมิภาค ก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจาก "สงครามล่าอาณานิคม" ไปสู่ "การแย่งชิงทรัพยากร" ด้วยรูปแบบอื่นที่ซุกซ่อนความรุนแรงเอาไว้ให้มิดชิดกว่าเดิมบ้างเท่านั้น ...

หากจะเปรียบเทียบความคล้ายกันของ "เงินตรา" กับ "ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์" แล้ว เราอาจจะเปรียบเทียบได้ว่า "กลไกแห่งปริวรรตเงินตรา นั้น คือ "ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ที่ปกปิดชุดรหัสคำสั่ง" (Proprietary Close-Source Software) ที่อนุญาตให้ "ประชาชน" ซึ่งเป็น "ผู้ใช้" (Users) สามารถใช้งานได้ตามกฎหมาย โดย "ห้ามทำซ้ำ" เพื่อการจำหน่ายจ่ายแจกแบบให้เปล่า หรือเพื่อการพาณิชย์ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังมีกฎหมายให้รัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่อนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดพัฒนา "เงินตราอื่นๆ" ขึ้นมา "แข่งขัน" ในอาณาจักรที่อยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐ อันจะเป็นการ "บั่นทอนความเป็นเอกสิทธิ์" แห่ง "อำนาจ" ที่ใช้ "บงการพฤติกรรมทางสังคม" ของ "มนุษย์ผู้ถูกปกครอง" ทั้งหลายในรัฐอาณาจักรโดยตรง ... ?!!? ...

มนุษย์ย่อมถูกทำให้จมจ่อมอยู่กับกระแสแห่งเงินตรา เช่นเดียวกับปลาที่จมจ่อมอยู่กับกระแสน้ำ ... เมื่อปลาไม่อาจจำแนก "ความเป็นน้ำ" ออกจากสภาพแวดล้อมของตน มนุษย์ก็ย่อมไม่อาจแยกแยะ "ความเป็นเงินตรา" ออกจากวิถีชีวิตเฉกเช่นกัน ... การเรียกร้องดิ้นรนใดๆ เพื่อ "ความมีสิทธิเสรีภาพ" นั้น ล้วนเป็น "มายา" ที่ผู้คนถูกปลุกปั่นให้ว่ายวนเหมือนปลาที่เวียนว่ายอยู่แต่ภายในอ่างอันถูกควบคุมไว้แล้วตลอดเวลา ... "น้ำ" อาจจะมี "คุณภาพ" และ "ปริมาณ" ที่ดีกว่าเดิมบ้างในบางช่วงบางโอกาส แต่ "อิสรภาพที่แท้จริง" กลับอยู่ "ภายนอกอ่าง" ที่ยังไม่มีใครเคยเรียกร้องว่าอยากจะกระโดดออกไป ??!! ... ;)

 

 

Kick-Ass Business & Marketing Secrets

18/6/2013
Book Title: Kick-Ass Business & Marketing Secrets
Author(s): Bob Pritchard
Format: Hardcover ; 272 pages
Publisher: Willy 1st Edition ; August 23, 2011)
Language: English
ISBN-10: 1118035089
ISBN-13: 9781118035085
Product Dimensions: 6 x 1.1 x 9.3 inches

ความหมายของสำนวน Kick Ass หรือ Kick-Ass ที่ปรากฏการใช้ในสำนวนพูดตั้งแต่ประมาณปี 1970 เป็นต้นมานั้น ได้รับการนิยามไว้ในพจนานุกรมบางฉบับว่า

  1. จาก http://www.learnersdictionary.com/search/kick-ass : very tough and aggressive ; very good or impressive
  2. จาก http://www.merriam-webster.com/dictionary/kick-ass : strikingly or overwhelmingly tough, aggressive, powerful, or effective
  3. จาก http://idioms.thefreedictionary.com/kick+ass : forceful, aggressive, and impressive ; to be very exciting or effective ; to be impressive, esp in a forceful way

ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจจะใกล้เคียงกับสำนวนพูดของไทยประมาณว่า "เจ๋งว่ะ", "โคตรเจ๋งอ้ะ", "โคตรล้ำเลย", ฯลฯ หรืออะไรที่มัน "ไม่ดาดๆ พื้นๆ" ในลักษณะที่มัน "กระแทกใจ" หรือ "กระแทกความรู้สึก" ในบางระดับที่ทำให้ต้อง "สะดุดความสนใจอย่างเฉียบพลัน" เพราะมีความ "ตรงจุดตรงประเด็น" อย่าง "ตรงไปตรงมา" หรือ "พลิกความคาดหมาย" ... โดยอารมณ์ของคำน่าจะคล้ายกับการกระตุ้นสัตว์พาหนะด้วยการเตะตรงสะโพกหรือก้นของมัน ... ประมาณนั้น ... แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันควรจะคล้ายกับ "การกระตุ้นเตือนสิ่งที่นอนก้นอยู่ในความทรงจำของแต่ละคนให้ฟุ้งสู่ความสำนึกรู้" ด้วยการ "เตะตูด" เพื่อ "เขย่าขวดความคิด" ให้บางสิ่งได้กลับคืนสู่ "การพิจารณาอย่างรอบด้าน" อีกครั้งหนึ่ง !!? ... เพราะมันไม่มีทางที่จะ "เจ๋ง" หรือ "โคตรเจ๋ง" ไปได้เลย หากสิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่ใน "ความทรงจำ" อันเป็น "ความใฝ่ฝัน" ของพวกเรามานานแสนนานอยู่ก่อนแล้ว !!? ... ;) ... และนั่นก็คือแง่มุมหนึ่งที่ทำให้หนังสือ Kick-Ass Business & Marketing Secrets ของ Bob Pritchard มีความน่าสนใจด้วย "เนื้อหาพื้นๆ" ที่เขาหยิบยกขึ้นมานำเสนอเอาไว้

จำได้ว่าหนังสือเล่มเล็กๆ เรื่อง "ธุรกิจนั่นแหละคือคน" ที่ผมเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน น่าจะเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับการอ่านหนังสือประเภทนี้มาอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือในยุคสมัยปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของผู้คนในแต่ละสังคม ให้มีความแตกต่างไปจากวันเวลาของหนังสือเล่มดังกล่าวอย่างมากมายมหาศาลแล้วก็ตาม ... แต่เบื้องลึกลงไปในจิตใจอันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของ "ผู้คน" นั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ?! ... หลายสิ่งที่เคย "เป็นจริง" ในอดีต อาจจะกลายเป็นเพียง "ความเคยเข้าใจผิด" ในยุคปัจจุบัน ... แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ถูกถอนรากออกไปเพียงเพราะเรามีเทคโนโลยีที่ไม่เหมือนเดิม ... ซึ่ง "มนุษย์" ก็คือสิ่งหนึ่งที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมากตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ของทั้งเผ่าพันธุ์ !!?

"กลางวัน-กลางคืน" ย่อมสลับสับเปลี่ยนเพราะดาวโลกหมุนรอบตัวเองเพียงหนึ่งรอบ ... "ฤดูกาล" ย่อมผันแปรเพราะการเคลื่อนย้ายตำแหน่งของดาวโลกตามเส้นทางรอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งขวบปี ... แม้ทุกสิ่งย่อมต้อง "เปลี่ยนแปลง" ไปตามกาลสมัย แต่ "อัตราการเปลี่ยนแปลง" ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละสรรพสิ่งอย่างอิสระต่อกัน ... เสื้อผ้าที่ผู้คนสวมใส่ หาใช่สิ่งยืนยันว่ามนุษย์ได้กลายพันธุ์ไปจากบรรพบุรุษของตนจนหมดสิ้นแล้ว ... ฤๅแก่นแท้แห่งสรรพศาสตร์จะหวือหวาได้เฉกเช่นเดียวกับลีลาแห่งถ้อยคำ ??!!

อาจกล่าวได้ว่า "ไม่มีอะไรใหม่" ในหนังสือเล่มนี้ ... เพียงแต่เราคงต้องย้อนถามตัวเองซักหลายๆ ครั้งว่า ... ในโลกธุรกิจที่กำลังวูบไหวเพราะความทันสมัยของ "เครื่องไม้เครื่องมือ" ในยุคปัจจุบันนั้น มันทำให้ "หลักการ" ของการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อหลายร้อยปีก่อนด้วยรึไง ??!!

 

 

Who Owns The Future

10/6/2013


Book Title: Who Owns The Future
Author(s): Jaron Lanier
Format: Hardcover ; 384 pages
Publisher: Allen Lane ; April 1, 2013)
Language: English
ISBN-10: 184615228
ISBN-13: 9781846145223
Product Dimensions: 9.1 x 6.3 x 1.4 inches

ต้องยอมรับล่ะครับว่า ผมไม่เคยได้ยินชื่อของ Jaron Lanier ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะผมไม่ใช่ geek นั่นแหละ ถึงไม่เคยให้ความสนใจกับ Computer Geek ระดับนักปรัชญาที่ใครๆ ให้การยกย่องรายนี้ ... แม้ว่าในที่สุดผมจะตัดสินใจซื้อหนังสือ Who Owns The Future ของแกมา "พยายามอ่าน" แต่นั่นก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ภาพถ่ายของแกบนปกด้านในของหนังสือเล่มนี้ ดูยังไงก็ไม่คล้ายทั้ง 2 ประเภทที่ผมเอ่ยถึงเลยซักนิดเดียว แต่เหมือน "นักดนตรี" แนวไหนซักแนวมากกว่า ... :D ... (ซึ่งจริงๆ แล้ว แกก็เป็นคนที่หลงใหลอย่างน่าทึ่งในเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องดนตรีอยู่เหมือนกัน)

Jaron Lanier น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของ "โลกดิจิตอล" อันเป็นแกนหลักแกนหนึ่งของ "เศรษฐกิจยุคข่าวสารข้อมูล" อย่างลึกซึ้งพอสมควร หรืออย่างน้อยที่สุด แกก็คงจะมีความเข้าใจในวิถีทาง และความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี ที่กำลังกลายเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ของการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมส่วนที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ... ซึ่งภาพของ "อนาคตแห่งโลกออนไน์" ที่แกบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ มีทั้ง "ความน่าทึ่ง" และ "ความน่าตกตะลึง" ปะปนกันไปแทบจะตลอดทุกหน้า เพราะดูเหมือนหลายสิ่งหลายอย่างได้ก้าวล่วงเกินกว่า "จุดพอดี" ของ "การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์" ไปมากแล้ว โดยแกพยายามสื่อสารกับผู้อ่านว่า หาก "สังคมยุคข่าวสารข้อมูล" ยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางเดิมๆ อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ กลไกทางเศรษฐกิจของมนุษย์ก็คงจะถึงกาลอวสานก่อนที่จะสิ้นสุดศตวรรษนี้อย่างแน่นอน ... !!!???

มันอาจจะเป็นภาพที่น่ากลัวของคนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่ก็เป็นภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากพวกเราทุกๆ คนยังคง "หลงระเริง" อยู่กับ "การไขว่คว้าความสะดวกสบาย" อย่างไม่สิ้นสุด เพราะถึงจุดหนึ่งแล้ว มนุษย์อาจจะแค่ "ดูเหมือน" สามารถควบคุมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่กลับถูก "ครอบงำทางจิตสำนึก" โดยที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ใครกันแน่ที่กำลัง "ควบคุม" ใครในอนาคต ??!! ... สังคมมนุษย์อาจจะพัฒนาไปจนถึงจุดที่ทุกคนสามารถมี "ความสะดวกสบายอย่างไร้สำนึก" โดยไม่อาจจำแนก "ความเป็นมนุษย์" ออกจาก "ความเป็นวัตถุสิ่งของแห่งยุคสมัย" ใดๆ ได้อีกเลย !!?? ... เก้าะ ... ไม่รู้จะเรียกว่า "น่าอภิรมย์" ได้มั้ยในสภาพแวดล้อมทางสังคมแบบนั้น ??!!

ก่อนหน้านี้หลายปี Alvin Tofler เคยนำเสนอภาพแห่งอนาคตของสังคมมนุษย์ไว้ในหนังสือเรื่อง The Third Wave ของเขา (ประมาณ) ว่า ... "ผู้คนในสังคมจะโหยหาสิ่งเก่าๆ ในอดีต เพื่อชดเชยให้กับความไม่เป็นแก่นสารของวิถีชีวิตในสังคมยุคข่าวสารข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร้รากมากยิ่งขึ้น ... มันจึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็น "การคืนชีพ" ของบทเพลงเก่าๆ, ดนตรีเก่าๆ, หนังสือเก่าๆ, หรือจินตนาการเก่าๆ ทั้งหลายแหล่ผุดกลับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา" ... นั่นเป็นเพราะมนุษย์จำเป็นต้องมี "สิ่งยึดเหนี่ยว" บางอย่าง เพื่อโอบอุ้ม "จิตสำนึก" ในแง่ของ "คุณค่า" และ "ความหมาย" ของ "การดำรงอยู่" ของตน ... ใช่รึเปล่า ?! ... ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ "ศักยภาพของความเป็นมนุษย์" ถูกลดทอนลงไปเป็นเพียง "เครื่องจักร" หรือ "สิ่งอำนวยความสะดวก" ทั้งหลาย จึงไม่อาจเติมเต็ม "ความปรารถนาที่แท้จริง" ภายในจิตวิญญาณของมนุษย์ได้เลย ... ใช่มั้ย ?! ... หรือ "ความสะดวกสบาย" ทั้งหลายทั้งปวงที่บรรดานักคิดนักประดิษฐ์ต่างๆ ช่วยกัน "เทกระจาด" ใส่วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมอย่างไม่หยุดหย่อนนั้น กำลังกลายเป็น "สิ่งเร้า" ที่กระตุ้นให้มนุษย์ทุกๆ คนต้องย้อนถามตัวเองด้วยคำถามอันเก่าแก่ที่ว่า ... "เราเกิดมาทำไม ?" ... "เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ?" ... รึเปล่า ?! ...

... หาก "การดำรงอยู่ของมนุษย์" กลายเป็น "สิ่งที่ไร้ความหมาย" ในสังคมที่ทุกสิ่งล้วนสำแดง "ความเป็นอนิจจัง" อย่างรวดเร็วในยุคข่าวสารข้อมูล ... "การโหยหาคุณค่าความหมาย" แห่ง "การดำรงอยู่ของตน" จะหมายถึง "การโหยหาแก่นสารอันมั่นคง" ให้กับ "อัตตา" ด้วยมั้ยล่ะ ?! ... ฤๅมนุษย์ต้องดำรงชีวิตอยู่กับ "ถ้อยคิดอันขัดแย้ง" ของ "การดำรงอยู่อย่างมีแก่นสาร" ที่ "ปราศจากรอยประทับแห่งอัตตา" จึงจะถือว่า "มีสติ" อันครบสมบูรณ์ ... ?!?! ...

ว่าแล้วก็อ่าน Who Owns The Future ของ Jaron Lanier บนความวุ่นวายแห่ง "สงครามทางความคิด" ในสมองของตัวเองต่อไป ... :D

 

 

How is the Internet Changing the Way You Think?

4/6/2013


Book Title: How is the Internet Changing the Way You Think?
Editor(s): John Brockman
Format: Hardcover ; 352 pages
Publisher: Atlantic Books ; January 1, 2012
Language: English
ISBN-10: 0857892452
ISBN-13: 9780857892454
Product Dimensions: 9.5 x 6.6 x 1.3 inches

ว่าจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้หลายวันละ เป็นหนังสือเล่มหนาแต่เนื้อความแต่ละท่อนไม่ได้ยาวเฟื้อยจนเมื่อยสมาธิซักเท่าไหร่ เพราะเป็นบทความสั้นๆ ที่นักคิด, นักเขียน, กับนักอะไรมั่งก็ไม่รู้อีกตั้งกว่าร้อยคนเขียนขึ้นมาเพื่อตอบคำถามที่ Edge ตั้งขึ้นมาลอยๆ ว่า "อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนวิถีคิดของคุณอย่างไรบ้าง?" ... ประมาณว่า "กรอบคิด" ของผู้คนในสังคมมักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับ "การดำเนินชีวิตประจำวัน" ของพวกเขาเสมอ เช่นเดียวกับ ทีวี, ตู้เย็น, รถยนต์, ฯลฯ หรือแม้แต่สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลายตั้งแต่ยุคแรกๆ ของสังคมมนุษย์ ... และอาจย้อนไปถึงยุคเริ่มต้นของ "วิวัฒนาการของการสื่อสารด้วยภาษา" ในรูปแบบต่างๆ ด้วย

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ก็คงจะอยู่ตรงที่ว่า ผู้คนในแต่ละสาขาวิชาที่ร่วมกันเขียนบทความเหล่านี้ขึ้นมา ล้วนมี "แนวคิด" ต่ออินเทอร์เน็ตแตกต่างกันไปไม่มากก็น้อย บ้างก็เห็นดีเห็นงามไปหมดซะทุกด้าน, บ้างก็รู้สึกว่ามันมีประโยชน์กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจกับมันซักเท่าไหร่, บ้างก็มองไปในแง่ที่ภัยคุกคามต่อสังคมโดยรวมไปเลย, ฯลฯ ... ซึ่งแต่ละคำตอบล้วนเขียนจากความรู้สึกของแต่ละคน โดยไม่มีการ "พาดพิง" หรือ "กระแนะกระแหน" คนอื่นๆ ว่าเป็น "สิ่งมีชีวิตสปีชี่ส์อื่น" ให้วุ่นวาย ... :D ... น่ารักดี !! ... ;)

ก็คงต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่หนังสือที่อ่านเพื่อความบันเทิง แล้วก็อ่านไม่ง่ายซักเท่าไหร่ด้วย เพราะศัพท์แสงและรูปประโยคที่หลายคนใช้ในหนังสือเล่มนี้ดูไม่ค่อยคุ้นตาเลย เก้าะเลยคิดว่า น่าจะเอาไว้อ่านเพื่อเพิ่มพูนคำศัพท์ซักหน่อยน่าจะดี ... :D ... กับน่าจะลองทบทวนตรวจสอบตัวเองด้วยว่า ตัวเรามีความเปลี่ยนแปลงใน "วิถีคิด" ไปมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ได้คลุกคลีอยู่กับเจ้าเทคโนโลยีชนิดนี้มาตั้งหลายปี ... จาก "ความตื่นเต้น" เพราะ "ความแปลกใหม่" ในอดีต กลายเป็น "เรื่องปรกติ" จน "น่ารำคาญ" ไปแล้วกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ?! ... จาก "ความใจจดใจจ่อ" ต่อ "การรอคอย" กลายเป็น "ความอืดอาด" ที่ "รอไม่ได้" ไปแล้วกี่อย่าง ?! ... เมื่อ "รูปแบบทางพฤติกรรม" ของผู้คนเปลี่ยนไป มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ "วิถีคิด" ของผู้คนจะไม่มี "การเปลี่ยนแปลง" ??!! ... "การเป็นตัวของตัวเอง" ใน "วันนี้" ไม่น่าจะใช่ "การเป็นตัวของตัวเรา" ใน "อดีต" อีกแล้วมั้ง ?! ... ดังนั้น จึงไม่มีใครที่ "เป็นตัวของตัวเองเสมอ" อย่างแน่นอน !!??

... ลองถามหา "คำตอบ" จากในใจของตัวเองซักครั้งซิว่า "อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนวิถีคิดของคุณอย่างไรบ้าง?" ... นะ !!