Zhuq!Ching

ZhuqiChing : The Organization Code
The Long Struggled Episode of ZhuqiDOX
© 2021 by Viruch Hemapanpairo (วิรัช เหมพรรณไพเราะ)

 

|¦¦ .. Random Words ?!


ผมถือว่า 'คัมภีร์อี้จิง' ควรจะถูกจัดให้เป็นหนึ่งในจำนวน 'หนังสืออ่านยากอ่านเย็นที่สุด' ของโลก … :D … เพราะถ้อยคำที่บันทึกไว้ใน 'คัมภีร์อี้จิง' ฉบับดั้งเดิมของ King Wen นั้นเหมือนกับจะไม่ได้บอกอะไรเอาไว้เลย … มีแต่รูป … กับรูป … แล้วก็ ... กับรูป … เท่านั้น !!! … เพราะเราต้องอย่าลืมด้วยนะครับว่า ตัวอักษรจีนทั้งหมดเป็นตัวอักษรที่พัฒนาต่อยอดจาก 'รูปภาพ' ล้วนๆ …

อีกอย่าง … ภาษาจีนโบราณนั้นไม่มีสัญลักษณ์ของการแบ่งวรรคตอน ซึ่งก็จะมีลักษณะเหมือนกันกับที่เราเห็นในภาษาอิยิปต์โบราณนั่นแหละ … มีแต่รูป … กับรูป … แล้วก็ … กับรูป … เท่านั้น !!! … การตีความจาก 'ภาพอักษร' จึงเป็นธุระของแต่ละคนโดยตรง แล้วก็แทบจะไม่มีข้อกำหนดด้วยว่า เราควรจะตีความเป็น 'ภาพอักษรเดี่ยว' หรือจะตีความให้เป็น 'ชุดของภาพอักษร' ที่ประกอบด้วย 'ภาพอักษร' หลายๆ ภาพที่เรียงต่อกัน ??!! … หรือเราอาจจะมองให้เป็น 'คำ' … หรือเราอาจจะมองให้เป็น 'ประโยค' ??!! … เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มี 'ความเป็นไปได้' ทั้งสิ้น … มันจึงง่ายมากที่จะมีผู้คนจากหลากหลายสาขาวิชามาพินิจพิเคราะห์ให้ 'คัมภีร์อี้จิง' มีความเกี่ยวเนื่องกับสาขาวิชาของตนเองอย่างต่อเนื่อง … และการที่ผมมองว่า 'คัมภีร์อี้จิง' ที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนั้น น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ 'ข้อแนะนำ' ใน 'การครองตน' มากกว่าที่จะเป็นตำราหมอดูก็เพราะว่า ฉบับที่ถือกันว่าเป็น 'ฉบับมาตรฐาน' นั้นถูกเขียนขยายความไว้โดย 'จิวกง' กับ 'ขงจื้อ' ซึ่งเป็นคู่หู Duo ที่ช่วยกันวางรากฐานทางด้านวัฒนธรรม และระบบจริยธรรมของจีนมาตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ และยังคงมีอิทธิพลทางความคิดต่อคนในยุคปัจจุบันในอีกหลายๆ ภูมิภาคของโลก … ซึ่งทั้งคู่ไม่ได้มีอาชีพเป็น 'หมอดู' … แต่เป็น 'นักคิด' และ 'นักการปกครอง' ตัวยงแห่งยุคในสมัยของพวกเขาต่างหาก … :) …

แต่ทำไมถึงมีคนจำนวนมากมายที่เชื่อว่า 'คำทำนาย' หรือ 'ข้อชี้แนะ' ที่ได้รับจากการเสี่ยงทายด้วย 'คัมภีร์อี้จิง' นั้นมีความเที่ยงตรงและแม่นยำอย่างเหลือเชื่อล่ะ ???!!! … คำถามข้อนี้เราก็ต้องย้อนกลับไปดูที่ 'กระบวนการเสี่ยงทาย' ที่เขาใช้กันในการขอ 'คำปรึกษา' จาก 'คัมภีร์อี้จิง' กันล่ะครับ … ;) … เท่าที่ผมเคยพบเห็นรูปแบบของ 'กระบวนการ' ที่เคร่งๆ หน่อย เขาจะทำกันถึงขนาดนี้เลยครับ …

อย่างแรกเลยก็คือ ต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดซะก่อน … จากนั้นก็นั่งสงบจิตสงบใจแบบที่ชาวบ้านเรียกว่า 'นั่งสมาธิ' นั่นแหละ … พอร่างกายสะอาดสดใส … จิตใจสงบผ่องแผ้ว … ก็ให้เพ่งความคิดไปยังสิ่งที่อยากจะถามก่อนที่จะเริ่ม 'การเสี่ยงทาย' … จะโดยการเผากระดูกสัตว์ หรือเขย่าไม้ติ้ว หรือโยนเหรียญ หรือวิธีไหนๆ ก็สุดแล้วแต่ความถนัด หรือตามแต่ที่เครื่องไม้เครื่องมือจะอำนวย … เป๊ง !!! … พอได้เป็นภาพสัญลักษณ์ไหนออกมาก็ไปเปิดอ่านบทนั้นๆ ของคัมภีร์ … จากนั้นก็ให้พยายามตีความตามคำถามที่เราเพ่งความคิดนั้นๆ อยู่ … ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ คิด … แล้วเราก็จะพบเห็น 'ข้อแนะนำ' ที่สุดแสนจะแม่นยำนั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงความคิดของเราเอง … ;) … โอ้ว !! … มันช่าง creative สุดๆ เลยนะนั่น … ว่ามั้ย ??!! … :D …

ความจริงก็คือ ไม่มีข้อความไหน หรือถ้อยคำใด หรือแม้แต่ 'ภาพอักษร' ตัวใดตัวหนึ่งใน 'คัมภีร์อี้จิง' ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราอยากจะรู้โดยตรงนั่นเลยล่ะครับ … นั่นคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ 'คัมภีร์อี้จิง' กลายเป็น 'ยาสามัญประจำสมอง' ของมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบมากๆ … เพราะสิ่งที่ 'คัมภีร์อี้จิง' บอกแก่เรานั้น ก็คือสิ่งที่เราบอกแก่ตัวเราเองเสมอ ;)

จะบ้ารึเปล่า … ??!! … :D

ผมเคยยกถ้อยคำเปรียบเทียบไว้คำหนึ่งเกี่ยวกับการพยายามคิดหาวิธีแก้ปัญหาใดๆ ในหน้าที่การงานของพวกเราทุกๆ คนว่าอย่างนี้ … บางครั้ง คนเราก็ควรจะต้องถอยห่างออกมาจากปัญหาที่กำลังรุมเร้าเหล่านั้นซะบ้าง เพื่อที่จะมองทุกๆ อย่างด้วยมุมมองอื่นให้มันรอบด้านกว่าเดิม ซึ่งอาจจะทำให้เราได้พบเห็นทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่า สำหรับแก้ปัญหาที่รุมล้อมตัวเราจนเหมือนกับไม่มีทางออกใดๆ ที่เป็นไปได้อีกแล้วในขณะนั้น … มันก็เหมือนกับเวลาที่เราอ่านหนังสือ หากเรามุ่งแต่จะตะบันอ่านด้วยการเบียดลูกตาของเราให้เข้าไปใกล้ๆ จนติดกับหน้ากระดาษเหล่านั้น มันก็ไม่ได้ช่วยให้เรามองเห็นอะไรที่ชัดเจนจนสามารถอ่านให้รู้เรื่องไปกว่าเดิมได้ แต่กลับจะทำให้เรายิ่งอ่านไม่รู้เรื่องหนักข้อไปกว่าเก่าซะด้วยซ้ำ … :D

เพราะฉะนั้น ผมมองว่าข้อปฏิบัติตาม 'พิธีกรรม' ก่อนที่จะเริ่มขอ 'คำปรึกษา' จาก 'คัมภีร์อี้จิง' นั้น เป็นเพียงหนึ่งใน 'กุศโลบาย' ที่มีจุดประสงค์ให้เรา 'ถอยห่าง' ออกจากปัญหาที่รุมเร้าจนมืดแปดด้านนั่นซะบ้าง … รู้จักที่จะเปลี่ยนอิริยาบทไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อผ่อนคลายอาการคร่ำเคร่งของกล้ามเนื้อที่มักจะเกร็งจากอาการเคร่งเครียดเพราะการใช้ความคิด … แล้วก็สงบจิตสงบใจตัวเองลงซักพัก ก่อนที่จะเริ่มพิจารณาปัญหาที่ว่านั่นอีกครั้ง 'อย่างรอบคอบ' … การเผากระดองเต่า หรือเขย่าไม้ติ้ว หรือการโยนเหรียญเสี่ยงทาย ก็เป็นเพียง 'กุศโลบาย' เพื่อให้เราทบทวนปัญหานั้นอีกหลายๆ ครั้ง (อย่างน้อยก็หกครั้ง) ก่อนที่ 'คัมภีร์อี้จิง' จะเขวี้ยงสมองเราให้ห่างออกไปจนไกลแสนไกลจากปัญหาเหล่านั้น ด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน … แล้วก็เราเองนั่นแหละที่เป็นผู้เชื่อมโยง 'ความไม่เกี่ยวข้องกัน' เหล่านั้น ให้ย้อนกลับเข้ามาเกี่ยวข้องกัน และกลายเป็น 'ทางออก' หรือ 'วิธีแก้ปัญหา' ที่เราอาจจะไม่สามารถค้นพบได้ด้วยวิธีการทางตรรกะแบบปรกติ … นี่ก็คือวิธีการค้นหาคำตอบด้วยวิธีการคิดแบบ Non-Linear ซึ่งเป็นคนละขั้วกับวิธีการคิดแบบ Linear ที่พวกเราคุ้นเคยกันในแบบหลักตรรกะทั่วๆ ไป … โดย 'เจ้าพ่อแห่งตำรานักคิด' อย่าง Dr. Edward de Bono เรียก mode ทางความคิดแบบนี้ว่า Lateral Thinking !!

Lateral Thinking เป็นชื่อของ 'แนวคิด' ที่นำเสนอแนวทางในการหาคำตอบอย่างสร้างสรรค์ และถือเป็นแก่นแกนที่สำคัญที่สุดในแนวคิดทั้งหมดของ Dr. Edward de Bono … Thinking Tools หรือ 'เครื่องมือช่วยคิด' ทั้งหมดของ Dr. Edward de Bono ล้วนแล้วแต่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อรับใช้ Lateral Thinking ทั้งสิ้น … และหนึ่งใน 'เครื่องมือ' ชิ้นสำคัญเพื่อการ 'ก้าวกระโดดออกจากกรอบทางความคิด' ที่ Dr. Edward de Bono เคยนำเสนอไว้ก็คือ Random Words … โดยจุดประสงค์หลักของ Random Words ก็จะอยู่ที่การดึงความสนใจของเราให้ 'ถอยห่าง' ออกจากปัญหาที่ยังไม่สามารถค้นพบคำตอบนั้นๆ และให้เราพยายามพิจารณาเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาเดิมของเราจากมุมมองที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน … ซึ่งถ้าหากเรามองในแง่ของ 'วัตถุประสงค์' แล้ว การที่ 'คัมภีร์อี้จิง' กลายเป็นหนึ่งใน 'หนังสืออ่านยากอ่านเย็นที่สุด' ก็เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการอ่าน แต่มันอาจจะถูกออกแบบมาให้เป็นหนึ่งในจำนวน Thinking Tools ที่ Dr. Edward de Bono นำมาฉายซ้ำอีกครั้งในเวลาอีกกว่า 4 พันปีต่อมา :D

เพราะฉะนั้น ความคิดที่อยากจะเขียน 'คัมภีร์อี้จิง' ฉบับสมบูรณ์ หรือความคิดที่จะอยากจะนำเอา 'คัมภีร์อี้จิง' มาดัดแปลงให้เป็น The Organization Code ของผมจึงเป็นความคิดที่น่าสยดสยองมากๆ … :D … เพราะคุณค่าที่แท้จริงของ 'คัมภีร์อี้จิง' จะเหือดหายไปในทันทีที่เราไปทำให้มัน 'อ่านรู้เรื่อง' !!!! … :P … กุญแจดอกสำคัญที่จะไขความลับของ 'คัมภีร์อี้จิง' นั้นอยู่ที่ตัวเราแต่ละคนเท่านั้น และไม่มีใครสามารถไขความลับนี้ให้แก่กันได้ด้วยในทางปฏิบัติ … การตีความทั้งหมดจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ไม่ว่าจะถ่ายทอดออกมายังไงมันก็ยังเป็นเรื่องเฉพาะตัวเสมอ … ;) … จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะไม่ได้เรียกเอกสารฉบับนี้ว่า I-Ching หรือ Yi Jing (ถ้าสะกดด้วย pinyin มาตรฐานของปัจจุบัน) แต่ผมเรียกมันซะใหม่ว่า ZhuqiChing หรือ Zhuq!Ching ที่อ่านออกเสียงว่า 'ฉึกฺอิจิง' และแปลว่า 'คัมภีร์ไอ้ฉึก' แทน !! … :D ...